Cookieless World คืออะไร?

โลกที่ไม่มีคุกกี้ฟังดูน่ากลัวไหม? สำหรับเด็ก ๆ หรือคนรักคุกกี้ก็คงเป็นเรื่องที่น่ากลัว แล้วก็น่าเศร้ามาก ๆ แต่ว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดก็สามารถร้องไห้กับเรื่องนี้ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่า Cookieless World ที่ว่าจะทำให้นักการตลาดและนักโฆษณาประสบปัญหาในการเก็บข้อมูลลูกค้า (third-party data) ตั้งแต่เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์เว็บไซต์อย่าง Google Analytics ข้อมูลว่าลูกค้าได้ทำ action อะไรบนเว็บไซต์บ้าง ไปจนถึงการใช้ข้อมูลลูกค้าในการทำโฆษณาให้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพจนถึงไม่สามารถทำได้ เพราะว่าไม่มี Cookie คอยเก็บข้อมูลแล้วนั่นเอง

 

สาเหตุของเรื่องนี้นั้นมาจากการประกาศของ Google ที่ภายในปี 2023 Google จะหยุดสนับสนุนการเก็บคุกกี้ของ Third Party บนเบราว์เซอร์ Chrome ทำให้ในอนาคต ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์จะไม่ถูกส่งต่อให้นักโฆษณาหรือนักการตลาด เพื่อทำการวิเคราะห์และยิงโฆษณาหาลูกค้าได้แบบในปัจจุบัน ดังนั้นการเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ให้ได้เร็วที่สุด จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจที่สนใจ data ทาง Convert Digital จึงมีวิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้มาฝากทุกคนกัน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

วิธีรับมือกับ Cookieless World เราต้องรอด!

1.เตรียมทำฟอร์มขอเก็บคุกกี้บนเว็บไซต์ของตัวเอง

ในเมื่อเราไม่สามารถใช้คุกกี้จากคนอื่นได้เราก็ต้องจำเป็นที่จะต้องเก็บคุกกี้ของเราเอง โดยถ้าสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เพิ่มแถบด้านล่างที่เขียนว่าเราขอเก็บข้อมูลคุกกี้ของคุณเพื่อประสบการณ์การใช้งานต่อไป การชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของคุกกี้จะทำให้ผู้ใช้งานหรือผู้ใช้บริการบนเว็บไซต์เข้าใจวัตถุประสงค์และเห็นความสำคัญของการให้คุกกี้มากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วย เนื่องจากการประกาศใช้ของกฎหมาย PDPA 

หาก Cookie Banner อาจไม่มีคนกด “ยินยอม” แล้วล่ะก็ เครื่องมือที่คุณใช้เก็บข้อมูลผู้เข้าชมเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจจะไม่ทำงานเลยก็เป็นได้ หลาย ๆ เว็บไซต์จึงทำการล็อคไว้เลยว่าผู้เข้าชมจำเป็นต้องกด “ยินยอม” ให้เว็บไซต์ใช้ cookie ได้ก่อนจึงจะสามารถใช้งานเว็บนั้น ๆ ได้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA: www.convertdigital.co.th/th/how-pdpa-law-affects-on-digital-marketing

2. พัฒนาและปรับปรุงระบบเก็บข้อมูล รวมถึงเครื่องมือการจัดการข้อมูล

เมื่อเราจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลเอง การปรับปรุงระบบในการเก็บข้อมูลรวมถึงการระบบการจัดการหลังบ้านจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับยุคที่คุกกี้หรือข้อมูลเป็นสิ่งที่หายาก เพราะฉะนั้นการสร้าง First-party data หรือฐานข้อมูลของตัวเอง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านจาก Third-party data มาสู่ Cookieless World ได้ง่ายขึ้นและการทำงานของนักการตลาดของคุณก็จะราบรื่นมากขึ้น

 

3. เริ่มหันมาใช้ Email Marketing เพื่อเก็บข้อมูล

อีเมลเป็นหนึ่งช่องทางการสื่อสารสำคัญที่ทำให้บริษัททุกบริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของตัวเองได้ ดังนั้นการเก็บข้อมูลของลูกค้าปัจจุบันผ่านอีเมลให้ได้มากที่สุด จึงยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ยังคงน่าสนใจและทำไม่ยาก โดยอาจจะเริ่มจากการใส่ฟอร์มลงไปในอีเมล เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากลูกค้าของคุณ จากนั้นค่อยเริ่มปรับเนื้อหาต่าง ๆ ตามความต้องการของลูกค้าคุณต่อไป แม้ว่าหลายบริษัทจะกล่าวว่า Email Marketing เป็นอะไรที่ใกล้จะตายแล้ว แต่ก็ยังปฎิเสธไม่ได้ว่าหากคุณมี Database ที่แข็งแรงและทักษะการเขียนที่ยอดเยี่ยม คุณก็ยังสามารถได้ธุรกิจใหม่ ๆ จากอีเมลได้อยู่เช่นกัน

CRM

4. ให้ความสำคัญกับความภักดีต่อแบรนด์ สร้างความประทับใจ และการกลับมาซื้อซ้ำ

การโฆษณาเพื่อหาลูกค้าใหม่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก เมื่อเราไม่สามารถใช้คุกกี้จาก Third-party data ได้ ดังนั้นการที่เปลี่ยนจุดโฟกัสจากการหาลูกค้าใหม่มาเป็นการดูแลลูกค้าเก่าให้ดี เพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ไปในตัว จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักการตลาดควรให้ความสำคัญมากขึ้น 

ยุคใหม่ วิธีใหม่!

การเก็บ First-party data คือการเก็บข้อมูลข้อลูกค้าปัจจุบันให้มากขึ้น และทำให้เราสามารถนำข้อมูลที่มีมากขึ้นนี้ ไปปรับปรุงและพัฒนาสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าปัจจุบัน สร้างความประทับใจที่ทำให้กลับมาซื้อซ้ำ จนอาจถึงบอกต่อความประทับใจนี้กับคนรอบข้าง ซึ่งจะสร้างความมั่นใจในแบรนด์ดีเสียกว่าการเห็นจากคำโฆษณาเสียอีก 

 

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของวงการโฆษณาออนไลน์ ที่มีพื้นฐานมาจากการใช้งาน Third-party data มากกว่า 20 ปี ดังนั้นทุกคนควรเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ อาจจะฟังดูยาก แต่ถ้าเราเริ่มก่อน ก็จะสามารถสร้างฐานข้อมูลของคุณได้มากเพียงพอในเวลาไม่นานนัก ทำให้ดำเนินธุรกิจได้แบบไม่มีสะดุด

ถ้าคุณสนใจอยากปรึกษาเรื่องการทำการตลาดออนไลน์ สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญที่ Convert Digital ได้ทุกวัน เรามีบริการด้านการตลาดแบบครบวงจรแบบ All-In-One หรือจะค่อย ๆ เริ่มต้นธุรกิจโดยใช้บริการส่วนใดส่วนหนึ่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เช่น การยิงโฆษณาบนทั้ง Facebook และ Google หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ หรือจะเน้นพัฒนาเว็บไซต์ สร้างเว็บไซต์ใหม่ ทำ SEO ก็สามารถมาปรึกษาเราได้เช่นกัน เราจะช่วยวางแผนการทำงาน งบประมาณ เพื่อให้ผลลัพธ์ได้ตรงกับความต้องการของธุรกิจของคุณมากที่สุด อ่านเพิ่มเติมที่ www.convertdigital.co.th/th/all-in-one-digital-marketing-services/

Read More

โพสต์รวมสเปค Video สำหรับทุกแพลตฟอร์มยอดฮิต ขนาดเท่าไหร่ อัตราส่วนไหน เรารวมมาให้แล้ว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “วิดีโอ” กลายเป็นหนึ่งสื่อหลักที่ช่วยโปรโมตธุรกิจในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้การผลิตวิดีโอเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น มีคุณภาพที่ดีขึ้น รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่ช่วยให้การดูคอนเทนต์วิดีโอทำได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้วิดีโอเข้ามาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต

Video Marketing คืออะไร?

ถ้าคุณเชื่อว่าภาพสามารถเล่าเรื่องได้ วิดีโอก็สามารถเล่าเรื่องได้มากกว่าภาพอีกหลายเท่า การทำ Video Marketing สามารถใช้ได้กับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมตแบรนด์ บริการ สินค้าและสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการนำเสนอวิธีการใช้สินค้า รีวิวเรื่องราวจากผู้ใช้จริง หรือนำเสนอคอนเทนต์ไวรัลที่สร้างกระแสให้แก่ลูกค้าในตลาดได้

รูปแบบวิดีโอบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ

ในแต่ละ Social Media ก็จะมีรูปแบบของวิดีโอที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการเตรียมวิดีโอที่ถูกต้องเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ Convert Digital มีรูปแบบวิดีโอบน Social Media แพลตฟอร์มต่าง ๆ มาฝากทุกคน จะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย

1. Facebook

เฟซบุ๊คยังคงเป็น Social Media ที่คนไทยใช้มากที่สุด และมีการประมาณว่า มีคนดูวิดีโอบนเฟซบุ๊ค มากกว่า 4 พันล้านวิดีโอต่อวัน โดยวิดีโอบนเฟซบุ๊คสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท แต่ละประเภทก็จะมีรูปแบบต่างกันออกไป

โพสต์แบบวิดีโอ เป็นรูปแบบที่ใช้กันเยอะมากที่สุด วิดีโอแบบนี้คือวิดีโอที่โพสต์โดยทั่วไป สามารถแชร์ได้ เหมาะสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ สามารถทำเป็นวิดีโอที่มีความยาวได้ เล่าเรื่องราวได้เยอะ

  • ขนาดวิดีโอ: 1280 x 720
  • ขนาดไฟล์: 4GB
  • อัตราส่วน: 16:9 แนวนอน หรือ 9:16 แนวตั้ง
  • สกุลไฟล์: .mp4 และ .mov

 

วิดีโอแบบ 360 องศา ที่สามารถทำให้ผู้ชมดูบรรยากาศรอบ ๆ ได้เหมือนสถานที่จริง เหมาะกับธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่เน้นประสบการณ์จากสถานที่ และบรรยากาศโดยรอบ

  • ขนาดวิดีโอ: 5120×2560 แบบ Monoscopic และ 5120×5120 แบบ Stereoscopic
  • ขนาดไฟล์: 10GB
  • อัตราส่วน: 2:1 แบบ monoscopic และ 1:1 แบบ Stereoscopic
  • สกุลไฟล์: .mp4 และ .mov

 

โฆษณาแบบวิดีโอ การทำโฆษณาแบบวิดีโอก็มีรูปแบบเฉพาะ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำโฆษณาให้น่าสนใจมากขึ้น แต่ควรจะทำให้เป็นวิดีโอสั้น เล่าเรื่องตรงประเด็นเพื่อดึงความสนใจของผู้ชม

  • ขนาดวิดีโอ: 1080×180
  • ขนาดไฟล์: 4GB
  • อัตราส่วน: 1:1
  • สกุลไฟล์: .mp4 และ .mov
Digital Marketing Agency in Bangkok Social Media Marketing Couple
Video on social media

2. Instagram

IG Video Streaming

อีกหนึ่ง Social Media ที่คนไทยนิยมเล่นกันมากขึ้นทุกวันโดยเฉพาะสาว ๆ โดย IG จะต่างจาก Facebook ตรงที่จะเน้นรูปภาพและวิดีโอเป็นหลัก มากกว่าเนื้อหาคอนเทนต์ Caption ซึ่งบน IG ก็มีรูปแบบวิดีโอหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้เช่นเดียวกัน

โพสต์แบบวิดีโอ ซึ่งสามารถโพสต์ได้ทั้งแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส แนวนอน และแนวตั้ง เหมาะสำหรับให้แบรนด์ใช้เล่าเรื่องราวของแต่ละสินค้า โดยจะไปขึ้นอยู่บริเวณหน้าโปรไฟล์แรกด้วย โดยเฉพาะแบรนด์ที่ต้องการ key visual ในการสื่อสาร เช่น สินค้าที่เป็นชิ้น ๆ และก็เหมาะกับธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรมด้วย เพราะช่วยสามารถถ่ายทอดประสบการณ์จากสถานที่จริงได้

  • ขนาดวิดีโอ: 1920×1080 แบบแนวนอน 1080×1080 แบบสี่เหลี่ยม 
  • ขนาดไฟล์: 4GB
  • อัตราส่วน: 16:9 แบบแนวนอน 4:5 แบบแนวตั้ง 1:1 แบบสี่เหลี่ยม
  • สกุลไฟล์: .mp4 และ .mov

วิดีโอแบบสตอรี่ (IG Story) เป็นวิดีโอสั้นไม่เกิน 15 วินาที ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ปัจจุบัน เหมาะสำหรับงานอีเวนต์ หรือการโปรโมตแหล่งท่องเที่ยว หรือร้านอาหารที่มีการแสดงประกอบอาหาร เพื่ออัปเดตสถานการณ์ของธุรกิจให้ดูมีความสนใจมากขึ้น ซึ่ง Stories มักจะทำอย่างรวดเร็ว ตามเทรนด์ เป็นที่น่าจดจำและสนุกสนาน เพราะ Stories จะหายไปใน 24 ชม. ส่วนธุรกิจใดที่อาจไม่จำเป็นต้องตามเทรนด์ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นแคตตาล็อคสินค้าได้เช่นกัน 

  • ขนาดวิดีโอ: 1080×1920
  • ขนาดไฟล์: 4GB
  • อัตราส่วน: 9:16
  • สกุลไฟล์: .mp4 และ .mov

วิดีโอแบบ Reel (IG Reel) เป็นวิดีโอรูปแบบสั้นที่เราเรื่องราวแบบกระชับเข้าถึงง่าย เหมาะกับการทำเป็นไฮไลท์วิดีโอของแบรนด์ ที่สามารถเล่าเรื่องราวได้แบบตรงจุด ใน 60 วินาที เน้นความสนุก ใส่คิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าที่เข้ามาชมแบรนด์ของคุณ หรือแม้ว่าผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามคุณ ก็สามารถเห็น Reels ได้จากบน Instagram Feed เป็นการขยายฐานลูกค้าได้เช่นกัน 

  • ขนาดวิดีโอ: 1080×1920
  • ขนาดไฟล์: 4GB
  • อัตราส่วน: 9:16
  • สกุลไฟล์: .mp4 และ .mov

3. YouTube

เป็นที่รู้จักกันดีกับแพลตฟอร์มวิดีโอที่เป็นที่นิยมที่สุด เหมาะสำหรับคอนเทนต์ที่ยาว เล่าเรื่อง คอนเทนต์แนว talk show รีวิว เหมาะสำหรับธุรกิจประเภทสื่อ หรือรายการทีวี หรือแบรนด์ที่ต้องการทำคอนเทนต์ความบันเทิงที่มีความยาว

  • ขนาดวิดีโอ: 426×240 (240p), 640×360 (360p), 854×480 (480p), 1280×720 (720p), 1920 x 1080 (1080p), 2560 x 1440 (1440p) and 3840 x 2160 (2160p)
  • ขนาดไฟล์: สูงสุด 128GB
  • อัตราส่วน: 16:9
  • สกุลไฟล์: .mov .mpeg4 .mp4 .avi .wmv .mpegps .flv .3gpp และ Webm

นอกจาก YouTube หลักแล้ว ตอนนี้ YouTube ยังมี YouTube Shorts ที่จะมีฟีเจอร์ที่คล้าย ๆ กับ IG Reel และ Tiktok ที่นำเสนอคลิปวิดีโอขนาดสั้นไม่เกิน 60 วินาทีด้วย

  • ขนาดวิดีโอ: 1080×1920
  • อัตราส่วน: 9:16
YouTube Video Marketing
Tik Tok Video

4. TikTok

เมื่อพูดถึงวิดีโอสั้น ๆ จะไม่พูดถึง Tiktok ไม่ได้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ฮิตมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหมาะที่สุดในการทำคอนเทนต์ไวรัล เพื่อให้แบรนด์เป็นที่พูดถึง หรือจะเป็นการใช้เพื่อตามเทรนด์ เช่น #challenge ต่าง ๆ ให้แบรนด์ดูอินเทรนด์เสมอ หากมีกำลังพลพร้อมทำวีดีโอที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง TikTok ก็เป็นแพลตฟอร์มที่คุณควรมีตัวตน

  • ขนาดวิดีโอ: 1280×720 แบบแนวนอน 720×1280 แบบแนวตั้ง 640×640 แบบสี่เหลี่ยม 
  • ขนาดไฟล์: 500MB
  • อัตราส่วน: 16:9 แบบแนวนอน 9:16 แบบแนวตั้ง 1:1 แบบสี่เหลี่ยม
  • สกุลไฟล์: .mp4 .mov .mpeg และ .avi

รู้จักประเภทของวิดีโอของ Social Media แต่ละแพลตฟอร์มกันไปแล้ว อย่าลืมเลือกใช้ Video Marketing ให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจและประเภทของคอนเทนต์ที่ต้องการ เราอาจจะลองเล่นฟีเจอร์แต่ละช่องทางแล้วประเมินดูว่าใช่ทางที่เหมาะสำหรับธุรกิจแบบเราหรือไม่ ซึ่งบางครั้งเราอาจไม่จำเป็นต้องใช้ทุกช่องทางก็ได้ สามารถเลือกหยิบเฉพาะประเภทที่ใช่สำหรับเรา โดยดูจากฐานกลุ่มลูกค้าและสินค้า/บริการของเราเป็นหลัก เพราะอย่าลืมว่าการทำวิดีโอสักคลิปต้องใช้เวลาและความคิดสร้างสรรค์ประกอบกัน ถ้าลองทำแล้วไม่เวิร์คหรือใช้พลังงานมากเกินไปก็ไม่ควรฝืนแต่ควรลดช่องทางลงหรือหาช่องทางอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจของคุณจะดีที่สุด 

 

ถ้ายังค้นหาช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณไม่เจอและต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วย ลองทักปรึกษากับทีม Convert Digital ได้เลย เรามีบริการด้านการตลาดแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น Digital Marketing หรือ Content Marketing รวมไปถึง Production ทั้งด้านวิดีโอและภาพถ่ายที่ช่วยให้ธุรกิจจำนวนมากเติบโตอย่างยั่งยืน มีตัวเลขผลงานการันตีให้คุณมั่นใจได้ก่อนตัดสินใจ

Read More

กฎหมาย PDPA มีผลกระทบกับ Digital Marketing มากน้อยแค่ไหน พร้อมวิธีรับมือ

ทุกคนคงได้ยินคำว่า กฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล หรือ PDPA ที่ถูกพูดถึงบ่อยมากขึ้น วันนี้ทาง Convert Digital มีข้อมูลเกี่ยวกับ PDPA ในประเทศไทยมาฝากทุกคน กฎหมายนี้มีผลอย่างไร ใครต้องรู้บ้าง แล้วแต่ละบริษัทต้องทำอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ

กฎหมาย PDPA คืออะไร?

หลายคนได้ยินคำว่า PDPA คงมีคำถามว่าสิ่งนี้คืออะไร PDPA หรือ Personal Data Protection Act แปลเป็นไทย คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีต้นแบบมาจาก GDPR (General Data Protection Regulation) กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป 

วัตถุประสงค์สำคัญของกฎหมายนี้ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดการนำข้อมูลไปใช้ละเมิดสิทธิ ข่มขู่เพื่อหวังผลประโยชน์จากเจ้าของข้อมูลหรือบุคคลที่ดูแลข้อมูลนั่นเอง ดังนั้นการจะจัดเก็บข้อมูลใด ๆ  จะต้องมีการแจ้งให้ทราบ และได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน โดยกฎหมาย PDPA ได้มีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป

กฎหมาย PDPA กับการเก็บข้อมูลของบริษัท

แน่นอนว่าการทำธุรกิจ ย่อมต้องมีการเก็บข้อมูลของลูกค้าอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งสำคัญของบริษัทคือการแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัว ขอความยินยอมในการเก็บข้อมูล และนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เพื่อให้บริการ หรือดำเนินการธุรกิจต่อไป ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองคือข้อมูลที่สามารถใช้เพื่อระบุตัวตนได้ มีต่อไปนี้

 

  • ชื่อ – นามสกุล
  • เบอร์โทรศัพท์ อีเมลส่วนตัว ที่อยู่ปัจจุบัน
  • วันเดือนปีเกิด สัญชาติ น้ำหนัก ส่วนสูง
  • เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง เลขใบอนุญาตขับขี่
  • ข้อมูลทางการศึกษา ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางการแพทย์
  • ทะเบียนรถยนต์ โฉนดที่ดิน ทะเบียนบ้าน
  • ข้อมูลอื่น ๆ บนอินเทอร์เน็ตที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น Username/Password, Cookies, IP address, GPS Location

นอกจากนี้ยังต้องระวังข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลในบริบทต่าง ๆ เช่น การใช้ชีวิต การทำงาน การอยู่ในสังคม โดยเฉพาะการเลือกปฏิบัติ ข้อมูลอ่อนไหว คือ

  • เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์
  • ความคิดเห็นทางการเมือง
  • ความเชื่อในลัทธิ ศาสนา หรือปรัชญา
  • พฤติกรรมทางเพศ
  • ประวัติอาชญากรรม
  • ข้อมูลด้านสุขภาพ ความพิการ เช่น โรคประจำตัว การฉีดวัคซีน ใบรับรองแพทย์
  • ข้อมูลสหภาพแรงงาน
  • ข้อมูลพันธุกรรม
  • ข้อมูลชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ แบบจำลองใบหน้า ข้อมูลม่านตา

กฎหมาย PDPA กับการทำ Digital Marketing

อีกอย่างหนึ่งที่บริษัทต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฐานข้อมูลที่มีอยู่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA หรือไม่ ได้มีการขอความยินยอม หรือมีการแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เจ้าของข้อมูล หรือลูกค้าของธุรกิจทราบหรือไม่ ซึ่งทำให้เกือบทุกบริษัทต่างก็ต้องกลับมาส่งอีเมลแจ้งลูกค้าที่เคยเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้ว่าจะขอใช้ข้อมูล

นอกจากข้อจำกัดในการใช้ฐานข้อมูลเดิม การ “สร้างฐานข้อมูลใหม่” เพิ่มเติมก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักการตลาดต้องคำนึงถึง หากยังไม่เคยมีการปฏิบัติตามข้อดังกล่าว อาจจะส่งผลให้เราไม่สามารถนำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ได้ ซึ่งส่งผลกระทบในการทำ Digital Marketing แบบ Data-Driven หรือการใช้ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อทำการตลาด ซึ่งเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้าสามารถเลือกที่จะปิดกั้นการให้ข้อมูล Cookies กับธุรกิจที่จะทำให้การเก็บข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์ลูกค้าของบริษัทจะทำได้ยากขึ้นมากหรือไม่สามารถทำได้เลยเพราะลูกค้าไม่ยินยอม ตัวอย่างเช่น การวัดผลการโฆษณาที่แม่นยำลดน้อยลง การวางแผนการตลาดที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและความต้องการของลูกค้าอาจทำได้ไม่ตรงเป้าหมายเหมือนแต่ก่อน การทำ Personalized Ads ก็จะมีประสิทธิภาพลดลง ทำให้อาจจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการยิง Ads แบบกว้าง ๆ ไม่เจาะจง การทำ Customer Loyalty Program สานสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ การแจ้งข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน สินค้าออกใหม่ หรือพูดง่าย ๆ ว่าแม้เราจะเข้าถึงลูกค้าได้เท่าเดิม แต่ก็ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงหรือติดตามตัวลูกค้าคนนั้น ๆ ได้เหมือนแต่ก่อน มีการเว้นระยะห่างเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยในข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น 

Business Data Analysis

เล่นปิดกั้นขนาดนี้ รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร?

เมื่อเรารู้ว่าข้อมูลของลูกค้าสำคัญกับธุรกิจของเรา ดังนั้นเจ้าของธุรกิจก็ควรต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าอย่างรัดกุมและเป็นมาตรฐาน สร้างความน่าเชื่อถือมากพอที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อใจธุรกิจ รวมไปถึงการเตรียมตัวเปลี่ยนวิธีเก็บข้อมูลมาเป็นแบบ First party data ที่จะมาช่วยระบุตัวตนของลูกค้าแทนการใช้ cookies ในอดีตเมื่อบริษัทไม่ได้รับความยินยอมเปิดเผยข้อมูล

Privacy Policy

ในฐานะเจ้าของธุรกิจควรเตรียมตัวให้พร้อมโดยการ

  1. เตรียมนโยบาย Privacy Policy เพื่อบันทึกกิจกรรมการประมวลผลข้อมูล ระบุชัดเจนว่าจะใช้ข้อมูล เพื่ออะไร
  2. มีการแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวแก่เจ้าของข้อมูลทั้งเก่าและใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทางอีเมลหรือ Cookie Bar 
  3. ใช้ Cookie Bar บนเว็บไซต์เพื่อแจ้งขอคำยินยอมในการใช้ Cookie โดยลูกค้ามีสิทธิ์ปฎิเสธได้ หากปฎิเสธอาจทำให้เครื่องมือวัดผลเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานได้
  4. มีการแจ้งเตือนเจ้าของข้อมูล หากเกิดการรั่วไหลของข้อมูล
  5. วางแผนเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบจากช่องทางอื่น ๆ นอกเหนือจากเว็บไซต์เพื่อทำ First Party Data ไม่ว่าจะเก็บข้อมูลจากหน้าร้าน จากออเดอร์ที่ได้รับ ฯลฯ โดยทุกช่องทางที่บริษัทต้องการเก็บข้อมูล ต้องมีการแจ้งเพื่อขอความยินยอมก่อนเสมอ

เมื่อธุรกิจของคุณได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า และลูกค้ายินยอมจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่ธุรกิจของคุณ แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ควรนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของลูกค้าในอนาคตและควรใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เบื้องต้นเท่านั้น ถ้าธุรกิจคุณทำได้อย่างถูกต้องตามหลักการที่กล่าวมา คุณก็ยังคงสามารถใช้ข้อมูลของลูกค้าแบบ First Party Data เพื่อยังคงระบุตัวตนเพื่อทำการโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายต่อไปได้เสมือนยังใช้ cookies 

เพราะการเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นของธุรกิจ หากคุณยังกังวลว่า PDPA และการเก็บข้อมูลลูกค้าไม่ได้จะมีผลกระทบกับการทำ Digital Marketing ที่แม่นยำของบริษัทคุณ สามารถเข้ามาปรึกษากับ Convert Digital ได้นะครับ เราพร้อมจะให้คำแนะนำทางด้านธุรกิจและการทำตลาดออนไลน์แบบครบวงจรเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป 

Read More

Google Ads มีกี่ประเภท และแบบไหนเหมาะกับความต้องการของธุรกิจคุณ

Google Ads เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยให้ธุรกิจโปรโมตตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างเรียกได้ว่าครอบจักรวาล เพราะ Google ถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่ลูกค้าใช้มากที่สุดบนอินเตอร์เน็ต และลูกค้าสามารถสร้างแคมเปญโฆษณาได้หลากหลายรูปแบบตามงบประมาณที่ตั้งไว้

หลายธุรกิจอาจคิดว่าการทำ Google Ads ไม่ซับซ้อนและสามารถทำเองได้ แต่นั่นนับว่าถูกเพียงครึ่งเดียวเพราะแต่สิ่งสำคัญนอกจากการเลือกประเภทของแคมเปญโฆษณา Google Ads ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจและรันโฆษณาแล้ว ธุรกิจมักลืมส่วน Technical ซึ่งเกี่ยวกับการวัดผลคู่กับเว็บไซต์ของคุณหรือ conversion tracking เพื่อให้แคมเปญบน Google ของคุณได้ปรับจูนตัวเองเข้าหาเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญและวัดผลได้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่รันแล้วปล่อยทิ้งไว้ไม่วัดผลเลย ซึ่งการทำ Google Ads อย่างถูกวิธีจะสามารถวัดผลได้ทั้งหมดว่าโฆษณาที่รันอยู่ ได้เปลี่ยนเป็นการขายของกี่ออร์เดอร์ การส่งฟอร์มติดต่อ การ Add Line กี่ครั้ง ฯลฯ ได้ตามที่ธุรกิจให้ความสำคัญ 

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ยังไม่คุ้นเคยกับ Google Ads นัก วันนี้ทาง Convert Digital นำบทความเกี่ยวกับประเภทของ Google Ads และวิธีการเลือกใช้มาฝาก รับรองว่าเมื่ออ่านจบแล้ว จะเข้าใจการเลือกประเภทของ Google Ads ได้มากขึ้นอย่างแน่นอนครับ  

ประเภทของ Google Ads

1. Search Campaign

มาเริ่มกันที่ Search Campaign ซึ่งเป็นโฆษณาของ Google Ads ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี คำจำกัดความอย่างง่ายก็คือ “เมื่อลูกค้า search keyword เกี่ยวกับธุรกิจคุณบน Google เว็บไซต์ของคุณก็จะขึ้นมาแสดงในหน้าแรก (อันดับที่ #1-4)” 

โฆษณาประเภท Search Campaign จะแสดงขึ้นมาเป็นตัวหนังสือในพร้อมลิงก์ไปยังเว็บไซต์ เมื่อมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของธุรกิจนั้น ๆ ที่ใกล้เคียงกับ Keywords ที่เรากำหนดไว้ โฆษณาของเราก็จะขึ้นอยู่ในตำแหน่งที่ 1-4 หรือตำแหน่งด้านล่างของหน้าแรกบน Google ทั้งนี้ จะมีบ้างในบางช่วงเวลาที่ตัวโฆษณาอาจจะไม่แสดงผลถึงแม้ว่าจะค้นหาด้วย Keyword ที่เรากำหนดไว้ก็ตาม สาเหตุเพราะงบประมาณที่เราตั้งไว้ต่อวันถูกใช้จนหมดแล้วหรืองบประมาณของเราไม่มากพอที่จะครอบคลุมการแสดงผลตลอดเวลาได้ 

Google Ads - Search Campaign

Search Campaign เหมาะสำหรับใคร? แคมเปญลักษณะนี้นับเป็นสิ่งที่จำเป็น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ เพราะการที่ผู้ใช้พิมพ์ค้นหาบางอย่างบน Google เกี่ยวกับธุรกิจคุณนั้นแสดงว่าพวกเขากำลังต้องการอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นข้อมูล สินค้า หรือบริการ ดังนั้นเมื่อธุรกิจของคุณมี demand เราก็สามารถโชว์เว็บไซต์ของธุรกิจเราเพื่อตอบสนอง demand เหล่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือก Keywords ได้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าคิดหรือไม่ และที่สำคัญ ถึงแม้ว่าเราเลือก Keywords ได้ตรงแล้ว การเขียน Ad ที่น่าดึงดูด กระชับ ชัดเจนรวมถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราที่ลูกค้าคลิกเข้าไปอ่านต่อนั้นสามารถตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้ากำลังค้นหาอยู่ได้ดีเพียงใด หากตอบโจทย์ได้ดี ใช้งานง่าย มีประสบการณ์บนหน้าเว็บไซต์ที่รวดเร็วและสะดวก ย่อมจะส่งผลดีต่อยอดขายและธุรกิจของคุณ

Google Ads - Display Campaign

2. Display Campaign

Google Ads ประเภทที่สอง คือ Display Campaign สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เป็นประเภทของโฆษณาที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนกว้างขึ้นด้วยโฆษณาที่จะเริ่มเน้น “รูปภาพและวีดีโอ” ประกอบกับคำบรรยายสั้น ๆ ซึ่งทำให้ Ad ของคุณมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยโฆษณาดังกล่าวจะปรากฏอยู่ตามเว็บไซต์พันธมิตรของ Google ต่าง ๆ (ซึ่งกว้างขวางมากกว่า 90% ของอินเตอร์เน็ต) แอปพลิเคชันที่ลูกค้าเข้าชม ไปจนถึงแพลตฟอร์มที่ Google เป็นเจ้าของ เช่น YouTube หรือ Gmail การโฆษณาแบบนี้จะทำให้ธุรกิจเป็นที่น่าจดจำได้มากกว่าการโฆษณาโดยใช้เพียงแค่ตัวอักษรเพียงอย่างเดียว แต่ถึงกระนั้นด้วยความที่ระบบการล็อคเป้าหมายต่างกันกับแคมเปญประเภท Search โดย Display Campaign นั้นจะเลือกลักษณะ Demographics และ Interest ของคนที่คุณต้องการเลือกได้ ในขณะที่ Search นั้นใช้ keyword เป็นหลัก ธุรกิจจึงควรทำแคมเปญทั้งสองประเภทควบคู่กันไปเพราะจะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันนั่นเอง

 

เหมาะสำหรับใคร? เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่ม Brand Awareness หรือการทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเข้าถึงคนให้มากขึ้น และถ้ามีการติดตั้ง Conversion Tracking ได้อย่างสมบูรณ์ ธุรกิจก็สามารถใช้ Display Campaign ในการหาเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญ ไปจนถึงการเร่งยอดขาย การหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ติดต่อธุรกิจคุณได้ถูกกว่าแคมเปญแบบ Search อีกด้วยในบางครั้ง 

3. Video Campaign

ใช่แล้วนอกจากรูปภาพ เรายังสามารถโฆษณาด้วยวิดีโอได้ผ่าน YouTube ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มในเครือข่ายของ Google Ads โดยโฆษณาประเภทนี้จะเป็นการแสดงในรูปแบบวิดีโอความยาว 6 หรือ 15 วินาที โดยแสดงก่อนหรือในระหว่างเนื้อหาบน YouTube และเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ที่ลูกค้ารับชม จะกดข้ามได้หรือข้ามไม่ได้ก็แล้วแต่ที่ลูกค้าจะเลือกใช้

รูปแบบของ Video Campaign แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่

  • โฆษณาในสตรีม (แบบกดข้ามได้): ลูกค้าสามารถเลือกกดข้ามโฆษณาได้เมื่อผ่านไป 5 วินาที เราจะเสียเงินก็ต่อเมื่อผู้ชมวิดีโอดูเป็นเวลา 30 วินาทีหรือครบความยาวของวิดีโอของเรา ดังนั้นถ้าลูกค้ากดข้ามวิดีโอเราหลัง 5 วินาที เราจะไม่ถูกเก็บเงิน
  • โฆษณาในสตรีม (แบบกดข้ามไม่ได้): ความยาววิดีโอ 15 วินาทีหรือสั้นกว่า จ่ายเงินตามการแสดงผล
  • โฆษณาวิดีโอในฟีด (ชื่อเดิม Video Discovery): โฆษณาจะแสดงตอนค้นหาใน YouTube โดยจะแสดงภาพปกวิดีโอ พร้อมข้อความบรรยายเล็กน้อย ตำแหน่งจะอยู่ถัดกับวิดีโอที่เกี่ยวข้อง ระบบจะเก็บเงินทุกครั้งที่มีการคลิกดูโฆษณา 
  • โฆษณาบัมเปอร์ (Bumper Ads): วิดีโอสั้นความยาว 6 วินาที (หรือสั้นกว่า) ผู้ชมไม่สามารถกดข้ามโฆษณาได้ ใช้ย้ำ call to action จ่ายเงินตามการแสดงผล
  • โฆษณานอกสตรีม: เป็นโฆษณาในรูปแบบของแบนเนอร์ที่แสดงเฉพาะอุปกรณ์เคลื่อนที่และปรากฏบนเว็บไซต์และแอปฯ พาร์ทเนอร์ของ Google เท่านั้น ไม่ได้บน YouTube 
  • โฆษณา Masthead: แสดงด้านบนสุดของฟีดบนหน้าแรกของ YouTube เล่นวิดีโออัตโนมัติโดยไม่มีเสียงนานถึง 30 วินาที ใช้เมื่อต้องการเพิ่มการรับรู้สำหรับสินค้าหรือบริการใหม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ในระยะเวลาสั้น ๆ เนื่องจากอยู่ในหน้า Homepage ของ YouTube ที่มีผู้เข้าชมหลักหลายล้านวิวต่อวัน

เหมาะสำหรับใคร? การโฆษณาแบบวิดีโอตอบโจทย์เมื่อธุรกิจต้องการเป็นที่รู้จักให้มากขึ้น ใช้เปิดตัวสินค้าใหม่ แจ้งโปรโมชัน และทำให้ลูกค้าอยากรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น โฆษณาทาง YouTube นั้นควรใช้ควบคู่กับโฆษณาประเภท Search หรือ Shopping เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมักจะใช้งานรวมถึงหาข้อมูลในหลายแพลตฟอร์มก่อนตัดสินใจ 

Google Ads - Video Campaign
Google Ads - Video Masthead
Google Ads - Shopping

4. Shopping Campaign

Google Ads ประเภทต่อไปต้องถูกใจเจ้าของร้านค้าออนไลน์แน่นอน เพราะจะเป็นโฆษณาที่ช่วยแสดงสินค้า เมื่อมีการค้นหาที่เกี่ยวข้อง โดยจะแสดงรูปสินค้า ชื่อสินค้า ราคา พร้อมส่วนลด ในผลการค้นหา และ Google Shopping List ซึ่งจะต้องมีการอัปโหลดรายละเอียดสินค้าใน Google Merchant Center แล้วทำการลิงก์เข้ากับบัญชี Google Ads แล้วค่อยสร้างแคมเปญขึ้นมา เราจะเสียเงินก็ต่อเมื่อมีการคลิกผ่านไปยังเว็บไซต์

 

เหมาะสำหรับใคร? เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการโปรโมตสินค้าในร้านค้าของตัวเอง เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยมีข้อแม้ว่าเว็บไซต์ของคุณต้องซื้อขายออนไลน์ได้เสียก่อน ถึงจะทำโฆษณาในลักษณะนี้ได้ 

5. App Campaign

สำหรับธุรกิจที่พัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมา คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าหากไม่มีคนรู้จักหรือดาวน์โหลดเลย ดังนั้น Google Ads แบบ App Campaign จะเป็นการโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจแอปฯ ช่วยหาผู้ใช้และเพิ่มยอดดาวน์โหลดของแอปพลิเคชันทั้ง iOS หรือ Android โดยจะโฆษณาผ่านทางการค้นหาทาง Google Search, Google Play, YouTube และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม

เหมาะสำหรับใคร? เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดผู้ใช้งานแอปฯ ยอดดาวน์โหลด หรือยอดซื้อผ่านแอปพลิเคชันของตนเอง หากคุณเปิดตัวแอปใหม่ นี่เป็นอีกทางเลือกที่จะสามารถเพิ่มยอดดาวน์โหลดและใช้งานได้อย่างแน่นอน 

6. Local Campaign

สำหรับใครที่อยากให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก และให้คนเข้าร้านเยอะ ๆ ต้องนี่ Local Campaign ที่จะเป็นการโปรโมตสถานที่ของธุรกิจของคุณให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ผ่านการแสดงโฆษณาบนผลการค้นหา แผนที่ YouTube และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

เหมาะสำหรับใคร? เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายที่หน้าร้าน และต้องการให้คนเข้าเยี่ยมหน้าร้านให้เยอะขึ้น โดยจำเป็นต้องเชื่อม Google Ads กับ Google My Business ของคุณเสียก่อน จึงจะสามารถทำแคมเปญประเภทนี้ได้

7. Smart Campaign

ถ้าไม่รู้ว่าต้องตั้งกลุ่มเป้าหมายอย่างไร Google Ads แบบ Smart Campaign สามารถช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นได้ เพียงแค่กรอกข้อมูลธุรกิจของตัวเองลงไป เลือก Keywords สร้างโฆษณาที่ต้องการใช้ กำหนดงบประมาณ แล้วปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ Google Machine Learning ในการเลือกแสดงโฆษณาอัตโนมัติทั้งใน Google Search, Google Maps, YouTube, Gmail และเว็บไซต์พันธมิตรของ Google

เหมาะสำหรับใคร? เหมาะสำหรับมือใหม่หัดใช้ Google Ads การตั้งค่าง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย และขยายฐานลูกค้าได้ ได้ลูกค้าที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจ แต่ด้วยความที่มีการใช้ machine learning ค่อนข้างเยอะ จึงจะสูญเสียการควบคุมและความสามารถในการปรับแต่งอย่างละเอียดไป 

8. Performance Max Campaign

ไม่อยากตั้งค่าเยอะ ต้องใช้ Google Ads แบบ Performance Max Campaign ที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจยิงโฆษณาได้ในทุกพื้นที่โฆษณาของ Google Ads เช่น YouTube, Display, Search, Discovery, Gmail และ Maps จากการสร้างโฆษณาเพียงชิ้นเดียว โดยจะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของโฆษณาดีขึ้นตามวัตถุประสงค์ของเจ้าของธุรกิจ ถูกออกแบบมาให้ใช้เสริม Google Search Campaign โดยอิงตาม Keyword ที่กำหนด

เหมาะสำหรับใคร? คนที่ต้องการประหยัดเวลาในการตั้งค่าโฆษณา เข้าถึงทุกช่องทางของ Google เน้นเพิ่มจำนวน Conversion สร้างรายได้ให้กับธุรกิจของตัวเอง โดยโฆษณารูปแบบ Performance Max นี้จะมาแทนที่ Display และ Shopping Campaign ในอนาคตอันใกล้ 

Google Performance Max

จบกันไปแล้วกับตัวอย่างโฆษณา Google Ads หลาย ๆ รูปแบบ การเลือกโฆษณาให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจและงบประมาณถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจบรรลุวัตถุประสงค์ได้เร็วขึ้น ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้อีกด้วย หลังจากอ่านบทความนี้ หวังว่าทุกคนจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับ Google Ads ที่มากขึ้น และสามารถเลือกประเภทของโฆษณาให้เหมาะกับธุรกิจและวัตถุประสงค์ของตัวเองได้นะครับ

 

หากใครยังไม่แน่ใจ หรือต้องการความช่วยเหลือในการยิงโฆษณาผ่าน Google Ads และต้องการวัดผล Conversion ได้อย่างชัดเจนซึ่งทีมงานอาจไม่สามารถทำเองได้ Convert Digital พร้อมให้คำปรึกษาและวางระบบให้คุณ รวมถึงลงมือทำการตลาดออนไลน์แบบครอบคลุมและครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น SEO โซเชียลมีเดีย การซื้อโฆษณาออนไลน์ งานครีเอทีฟที่เป็นภาพและวิดีโอ การสร้างแบรนด์ ฯลฯ มีผลงานที่ชัดเจนในหลายอุตสาหกรรมให้คุณได้ลองพิจารณาครับ

Read More

แผนการตลาดด้วยการทำ SEO ดีจริงหรือไม่? ทำไมหลายคนมองข้าม?

ในปัจจุบันการทำการตลาดออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาว่างไปกับโลกอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการติดตามข่าวสาร หรือค้นหาสิ่งที่สนใจ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้วมือ ผ่านช่องทางออนไลน์ ดั้งนั้นถ้าคุณอยากให้ธุรกิจของคุณไม่พลาดโอกาสที่จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้าเมื่อลูกค้ามีความต้องการ แผนการตลาดออนไลน์จึงมีความสำคัญ

การทำการตลาดออนไลน์สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Google หรือ Facebook และการใช้โซเชียลมีเดียทำคอนเทนต์ออนไลน์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายังมีแผนการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้คนมักจะมองข้าม นั่นก็คือ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรกของ Google โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาเมื่อลูกค้าค้นหา keyword ที่เกี่ยวกับธุรกิจ

การตลาดลักษณะนี้เป็นการทำการตลาดที่ต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะเห็นผลลัพธ์ แต่ถ้าทำสำเร็จติดหน้าแรกแล้วก็จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากในระยะยาว ลูกค้าบางบริษัทที่เน้นยอดขายหนัก ๆ แบบเห็นผลอย่างรวดเร็ว มักจะลืมทำการตลาดในมุมมองระยะยาวรูปแบบนี้ไป อาจทำให้ไม่สามารถหยุดโฆษณาได้เลยเพราะลูกค้าบนเว็บไซต์มาจากการโฆษณาล้วน ๆ ไม่มีส่วนไหนที่ Search Google แล้วเจอเว็บไซต์เลย จะเริ่มทำ SEO ใหม่ตอนนี้กว่าจะเห็นผลอาจต้องรออีกหลายเดือน

ความสำคัญของการทำ SEO

ถึงแม้การทำ SEO อาจจะใช้เวลานานเกือบปี (เราแนะนำ 8-12 เดือน) กว่าจะทำให้หน้าเว็บติดการค้นหาในหน้าแรกบน Google แต่ถือเป็นแผนการตลาดที่ยั่งยืนมากกว่าการยิงโฆษณา เพราะถ้าหากเราไม่ทำ SEO ไว้แต่เนิ่น ๆ เมื่อไหร่ที่หยุดยิงโฆษณาแล้ว เว็บไซต์ของเราก็จะหายวับไปจากหน้าแรกของการค้นหาบน Google ในทันทีทำให้ผู้เข้าชมตกวูบอย่างน่าใจหายเช่นกัน

และการทำ SEO จะยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีกเมื่อในอนาคตการทำโฆษณาออนไลน์จะมีประสิทธิภาพน้อยลงเนื่องจากนโยบายเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งาน ที่จะสร้างข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่จะมาใช้ในการประมวลผลกลุ่มเป้าหมายของโฆษณา การยิงโฆษณาอาจจะไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายได้มากเหมือนแต่ก่อน และอาจจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะทุกธุรกิจต่างให้ความสำคัญกับการโฆษณาออนไลน์ เหตุนี้จึงทำให้การทำ SEO หรือแผนการตลาดแบบ organic จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการทำแผนการตลาดของธุรกิจต่าง ๆ ในอนาคต

ในเมื่อเป็นแผนการตลาดที่สำคัญ แล้วการทำ SEO คืออะไรกันแน่? ช่วยธุรกิจของเราได้อย่างไร?

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าการค้นหาแรกบน Google โดยการปรับปรุง แก้ไข หรือสร้างเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ใช้ง่าย มีข้อมูลที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และสามารถตอบโจทย์คีย์เวิร์ดที่ลูกค้าค้นหาเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้ โดยทั้งหมดนี้ไม่ได้เงินโฆษณาแต่อาศัยระยะเวลาและความเชี่ยวชาญด้านระบบ รู้ว่าควรใช้ keyword ประเภทใด ใช้ที่ไหน ใช้อย่างไร เพื่อให้ติด ranking ที่มีคนค้นหาจริง การติดผลการค้นหาในหน้าแรก ๆ จะช่วยเพิ่ม qualified traffic หรือผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีแนวโน้มสนใจใช้สินค้าและบริการของเรา และหมายถึงโอกาสในการสร้างยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นด้วยโดยไม่พึ่งโฆษณาเช่นเดียวกัน 

7 หัวใจหลักของการทำ SEO

เมื่อเห็นถึงข้อดีและความสำคัญของการทำ SEO แล้ว เราควรที่จะต้องรู้ว่าการทำ SEO นั้นต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยหัวใจหลักของการทำ SEO แบ่งออกได้เป็น 7 ข้อ คือ

1. Website Structure หรือการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์

เรื่องแรกที่จะต้องคำนึงถึงเมื่อต้องการจะทำ SEO ก็คือการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ เพราะการทำ SEO ไม่ใช่แค่การใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปยังเนื้อหาต่าง ๆ บนเว็บไซต์ แต่ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพของเว็บไซต์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการโหลด การใช้ URLs ที่เหมาะสมกับ SEO การดีไซน์เว็บไซต์ที่สามารถแสดงได้บนอุปกรณ์หลากหลายชนิดอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการทำ SEO จึงจำเป็นต้องใช้ทั้งคนทำเว็บ คนเขียนคอนเทนต์ และคนทำรูปภาพที่มีความเป็นมืออาชีพ เราสามารถ audit website คุณและชี้ให้เห็นเป็นจุด ๆ ได้ว่าต้องปรับปรุงส่วนไหน และปรับปรุงอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ Google ยอมรับ ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อประสบการณ์ในการเข้าชมที่ดี ทำให้ ranking สูงขึ้นนั่นเอง

2. Mobile Friendliness หรือการปรับเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับการแสดงผลบนโทรศัพท์

อย่างที่ได้พูดถึงไปในข้อที่แล้วการทำให้เนื้อหาบนเว็บไซต์สามารถแสดงได้บนหลายอุปกรณ์นั้นเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงผลบนโทรศัพท์ การทำให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนโทรศัพท์ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องซูมเข้า ซูมออก เลื่อนดูเนื้อหา จะเป็นการเพิ่มคะแนนให้หน้าเว็บไซต์สามารถติดในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาได้ในการทำ SEO ในปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญของ Mobile Friendly มากกว่า Desktop เพราะด้วยจำนวนคนที่ใช้มือถือในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ด้วยเหตุผลจากความสะดวกและสามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา คุณสามารถใช้เครื่องมือฟรีของ Google อย่าง Page Speed Insights เพื่อดูคะแนนของเว็บไซต์ตัวเองได้: https://pagespeed.web.dev/

Mobile-friendly users

3. User Experience ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน

เมื่อพูดถึงการแสดงเนื้อหาให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ทุกรูปแบบแล้ว การทำ SEO ก็คงหนีไม่พ้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ คือการทำให้คนเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างราบรื่น ไม่มีข้อผิดพลาด ไม่มีการที่เว็บค้างและ error ทำให้มีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับเข้ามาที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์เรานานขึ้นเพื่อเปิดดูหน้าต่าง ๆ หาข้อมูลหรือซื้อของที่ต้องการ การที่เว็บไซต์มี User Experience ที่ดีจะทำให้อัตรา Bounce Rate หรืออัตราที่ลูกค้าเข้ามายังเว็บไซต์แต่กดปิดทิ้งต่ำลง ส่งผลให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ เหมาะที่จะอยู่หน้าแรก ๆ บน Google

SEO Keyword Search

4. Keyword Research การเลือกใช้ keyword ที่คนค้นหาให้เหมาะสม

การทำ SEO มักอยู่คู่กับการใส่ Keyword ต่าง ๆ ที่มี Search Volume ลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อให้คนสามารถเห็นหน้าเว็บไซต์ของเราได้ด้วย keyword นั้น ๆ ด้วยการค้นหาคำต่าง ๆ หากเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับ Keyword มากเท่าไหร่จะทำให้หน้าเว็บไซต์สามารถติดผลการค้นหาในอันดับบน ๆ ได้มากเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการแทรก Keyword ต้องทำอย่างพอดี เป็นธรรมชาติและมีความเกี่ยวข้องจริง ๆ กับสิ่งที่หน้าเว็บกำลังพูดถึง ดังนั้นการใส่ Keyword แบบไม่ลืมหูลืมตาหรือพยายามมากเกินไป และจะยิ่งทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี โดย Google อาจจะมองว่าเป็น Spam ได้ นอกจากในบทความแล้ว Keyword สามารถนำมาใช้ตั้งชื่อรูปภาพในบทความได้ หรือที่เรียกว่า Alt Tag หรือจะเพิ่มใน Slug ต่อท้าย URL ก็ได้ด้วยเช่นกัน

5. Useful Content หรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์

สิ่งที่ต้องระวังในการทำ SEO ก็คือการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่ได้มีความเชื่อมโยง ไม่เป็นประโยชน์ ด้อยคุณภาพ หรือแม้แต่คัดลอกบทความของเว็บไซต์อื่น เป็นสิ่งที่ต้องระวังให้มาก เพราะอาจจะถูกลงโทษโดยโดนถอดหน้านั้นออกจาก การค้นหาบน Google เลยก็เป็นได้ การเขียนบทความที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ ผ่านการเรียบเรียงที่ดี จึงเป็นเรื่องสำคัญในการทำ SEO 

6. Social Media การแชร์บทความไปยังโซเชียลมีเดีย

เมื่อเรามีเนื้อหาที่ดีแล้ว การหาช่องทางกระจายหรือเผยแพร่เนื้อหาก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการแชร์ไปยังช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ซึ่งไม่เสียเงินและเป็นการช่วยเพิ่มการเยี่ยมชมเว็บไซต์ให้มากขึ้น

7. Backlinks การสร้างลิงก์บนเว็บไซต์อื่น ๆ ให้กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา

การทำ SEO นั้นให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น การทำ backlink เป็นการบ่งบอกให้ Google รู้ว่าบทความหรือเนื้อหาของเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ และสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงของข้อมูลบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.convertdigital.co.th/th/what-is-backlink/

การใช้แผนการตลาดด้วยการทำ SEO จะทำให้ธุรกิจสามารถขยายโอกาสในการสร้างรายได้โดยไม่ต้องเสียงบประมาณในการโฆษณา และยังสามารถทำให้มีการเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มากขึ้นจากผลการค้นหาได้อย่างยั่งยืนมากกว่า อย่างไรก็ตามการทำ SEO นั้นเป็นแผนการตลาดระยะยาว ที่ต้องใช้เวลาและการวางแผนที่ดูอาจจะซับซ้อน หากไม่มั่นใจ หรือต้องการหาที่ปรึกษา Convert Digital สามารถเป็นตัวช่วยให้คุณได้ เราพร้อมที่จะทำให้การทำ SEO กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับคุณ ด้วยประสบการณ์โดยตรงที่การันตีความพึงพอใจจากลูกค้าของเรา

Read More

เพิ่มโอกาสในการขายได้ง่าย ๆ เพียงสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง

การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฎิเสธได้อีกต่อไปว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่คิดทำธุรกิจและแข่งขันให้ได้อย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน ในช่วงสองปีที่ผ่านมา วิกฤตโควิดทำให้หน้าร้านค้าต่าง ๆ ต้องทยอยปิดตัวลงไปเพราะคนไม่ออกจากบ้าน ผู้ประกอบการหลายรายต้องจมทุนกับการแบกรับภาระค่าเช่าที่ ค่าจ้างพนักงาน แต่รายได้หดหายไปกว่าครึ่ง เหตุการณ์นี้ยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนผ่านช่องทางการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจค้าขายหรือบริการ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากโลกออฟไลน์ มาเป็นโลกออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นหากในปัจจุบันคุณไม่มีเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน หน้าตาสวยงามใช้งานง่ายและสามารถสร้างรายได้ให้คุณได้จริง ธุรกิจของคุณก็เสียโอกาสอย่างยิ่งในการแข่งขันที่มีแต่จะเข้มข้นขึ้นในปัจจุบัน

จากรายงาน Digital Stat 2022 พบว่าคนไทยซื้อของออนไลน์บ่อยเป็นอันดับที่ 1 ของโลก คนไทยอย่างเราซื้อของกินของใช้ผ่านทางออนไลน์มากที่สุดในโลกและใช้เงินเฉลี่ยในการซื้อของออนไลน์มากถึง 17,000 บาท/คน/ปี ทำให้พ่อค้า แม่ค้า และเจ้าของธุรกิจหลาย ๆ เริ่มมองหาโอกาสและช่องทางในการเพิ่มยอดขายผ่านทางออนไลน์ เช่น การใช้โซเซียลมีเดียต่าง ๆ หรือการนำสินค้าของตัวเองไปขายผ่านแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada ฯลฯ แต่อาจจะลืมนึกถึงการสร้างเว็บไซต์ของแบรนด์เองซึ่งไม่ต้องเสียค่า GP แพง ๆ และไม่ต้องลงทุนมหาศาลในการดัน Traffic ช่วง double date เพื่อให้ได้อยู่ในลิสต์ flash sale บนแพลตฟอร์มเจ้าดัง ดังนั้นเว็บไซต์ที่คุณจัดการเองได้ทั้งหมดจะเป็นอีกช่องทางสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและมีรายได้มากขึ้นในระยะยาว 

ทำไมธุรกิจควรสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง?

ในยุคที่ทุกคนเสพสื่อ ค้นคว้าข้อมูล จับจ่ายใช้สอยผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน การมีเว็บไซต์ที่ดี มีช่องทางออนไลน์ที่ครบถ้วน ข้อมูลถูกต้องเป็นระเบียบ มีการจัดการอย่างมืออาชีพก็คือการมีหน้าร้านที่น่าเชื่อถือ จับต้องได้ในยุคนี้ หลายครั้งการมีตัวตนบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่งนั้นมีค่ามากกว่าการมีหน้าร้านในโลกจริง ดังที่คุณอาจจะเห็นกันดีอยู่แล้วจากความสำเร็จของหลายแบรนด์ที่ไม่มีแม้แต่หน้าร้าน

เรามาดูกันว่าเหตุผลหลัก ๆ ที่ธุรกิจต้องการสร้างเว็บไซต์ของตัวเองนั้นมีอะไรกันบ้าง

1. อยากเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าและแบรนด์

การสร้างเว็บไซต์ที่เป็นชื่อธุรกิจของตัวเองจะทำให้แบรนด์ดูมีความเป็นมืออาชีพและดูน่าเชื่อถือในยุคปัจจุบัน หากคุณไม่มีเว็บไซต์แม้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็จะถูกมองว่าล้าหลังหรือเข้าถึงได้ยาก ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการหาข้อมูลของผู้บริโภคในปัจจุบัน ทุกคนรู้ว่าการทำเว็บไซต์ขึ้นมาอย่างจริงจังนั้นเปรียบได้กับการลงทุนสร้างหน้าร้านอย่างหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีและมีระบบ มีผู้ดูแลร้านออนไลน์เช่นกัน หากเว็บไซต์ของคุณดูดีเป็นหน้าเป็นตาให้บริษัท มีข้อมูลครบถ้วน มีฟังก์ชันใช้งานง่ายติดต่อสะดวก ลูกค้าสมัยนี้ก็ใช้เว็บไซต์เป็นสื่อกลางในการเข้าถึงสินค้าและบริการที่คุณมีนั่นเอง

2. อยากลดค่าธรรมเนียม (Commission) บนแพลตฟอร์ม E-Commerce

การมีหน้าร้านออนไลน์ของตัวเองทำให้ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่าง Shopee หรือ Lazada ไปได้ นั่นหมายถึงเราไม่ต้องถูกหักค่าธรรมเนียมจำนวนมหาศาลมากถึง 15-30% จากยอดขายที่เราทำได้ ซึ่งในอนาคต ค่าธรรมเนียมนี้อาจจะมีการเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันก็เป็นได้เพราะว่าแบรนด์ของเราไม่ใช่เจ้าของแฟลตฟอร์ม และเราจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ตามข้อกำหนดต่าง ๆ ที่อาจไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจเราก็เป็นได้

หากเรายังพึ่งพาแพลตฟอร์มเหล่านี้เพียงอย่างเดียวเป็น 100% ของรายได้ธุรกิจ เราจะไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหากเจ้าของธุรกิจตระหนักในข้อนี้ก็มักจะสร้างเว็บไซต์ของตัวเองเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราค่อย ๆ สะสมฐานลูกค้าทีละนิด พัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยที่เราจ่ายเพียงค่าธรรมเนียมชื่อเว็บปีละหลักร้อยหลักพันเพียงเท่านั้น หลายแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการทำเช่นนี้ก็สามารถลดค่าคอมมิชชันลงและเพิ่มกำไรมากขึ้น บางเจ้าถึงกับไม่ร่วมงานกับมาร์เกตเพลสชื่อดังไปเลยเพราะว่าเพียงแค่สร้างเว็บไซต์ตัวเองและโปรโมทผ่าน social media หรือ Google ads ก็ได้ลูกค้าเพียงพอแล้วก็มี 

Online Shopping
การสร้างเว็บไซต์ดีไซน์ด้วยตัวเอง

3. สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ

การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองทำให้สามารถออกแบบได้อย่างอิสระ จัดแต่งตามสไตล์ของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ที่ต้องการฟังก์ชันเฉพาะไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่ต้องการ walk-through แบบ 3 มิติในทุกห้อง แพลตฟอร์มตัดเสื้อออนไลน์ที่มีฟังก์ชันวัดขนาดตัว เลือกเนื้อผ้า และจำลองภาพเสื้อที่ตัดเสร็จให้เห็นเป็น 3 มิติ ฯลฯ ฟังก์ชันพิเศษเหล่านี้อาจไม่มีในแพลตฟอร์มมาร์เกตเพลสทั่วไป แต่อาจเป็นจุดขายเฉพาะที่คุณมีเพียงคนเดียวและจำเป็นต่อธุรกิจ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจหลายท่านจึงเนรมิตเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดขึ้นมาใช้ 

4. เก็บข้อมูลความต้องการของลูกค้าได้

เมื่อมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เจ้าของธุรกิจสามารถติดตั้งเครื่องมือฟรีที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่ใช้งานเว็บไซต์ แล้วนำข้อมูลไปใช้เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงเลือกทำโฆษณาไปยังกลุ่มลูกค้าของตัวเองได้ เรียกได้ว่าหากไม่มีเว็บไซต์แล้ว คุณก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าลูกค้าที่ให้ความสนใจสินค้าและบริการของคุณนั้นมีอายุเท่าไหร่ เพศอะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร มีแนวโน้มชอบสินค้าใดมากกว่ากัน ฯลฯ แต่หากคุณมีเว็บไซต์และติดตั้งเครื่องมืออย่าง Google Analytics ฯลฯ คุณก็จะตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน รวมถึงทราบอีกด้วยว่าการทำโฆษณาในช่องทางไหนให้ผลกำไรดีที่สุด เรียกได้ว่าหากคุณไม่มีเว็บไซต์ก็เหมือนมีหน้าร้านขายของแต่ไม่เคยได้เห็นหน้าลูกค้าสักคน

Website Data Analysis
Website Product Review

5. สร้างเว็บไซต์ให้เป็นที่รวบรวมข้อมูล รีวิวต่าง ๆ ของสินค้า

การสร้างเว็บไซต์สามารถกลายเป็น portfolio ออนไลน์ของธุรกิจได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างเน้น b2b อย่างโรงงานก็ตาม การแสดงข้อมูลสินค้าและบริการอย่างครบถ้วนและถูกต้อง มีโปรโมชันล่าสุดให้ลูกค้าติดตาม รวมทั้งการรีวิวสินค้า ความคิดเห็นจากลูกค้าต่อสินค้าต่าง ๆ ได้ จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีก เหลือเพียงแค่รอให้เวลาผ่านไปและได้จำนวนรีวิวต่าง ๆ มากเพียงพอ ธุรกิจคุณก็จะมีความน่าเชื่อถือที่ยากจะสั่นคลอน ทำให้ลูกค้าใหม่ตัดสินใจใช้บริการได้ง่ายยิ่งขึ้น

ถ้าเหตุผลด้านบนนี้ตรงกับความต้องการของธุรกิจคุณ การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับ แต่เมื่อมาถึงช่วงที่จัดหาบริษัทรับทำเว็บไซต์จริง ๆ ก็จะพบว่ามีราคาอยู่หลายระดับดังนั้นเจ้าของธุรกิจที่อาจไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้อาจต้องคิดหนักว่ามาตรฐานการสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะวัดกันอย่างไร ในจุดนี้ Convert Digital มีผู้เชี่ยวชาญช่วยให้คำปรึกษา รวมถึงกำกับดูแลการสร้างเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สูงและตรงตาม Google Guideline มากที่สุดเพื่อประโยชน์ในการใช้งานระยะยาว

การสร้างเว็บไซต์ครั้งหนึ่งมีหลายขั้นตอน ซึ่งล้วนใช้เงินลงทุนและเวลาพอสมควรเพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจและคำนึงถึงผู้ใช้งาน 

ปัจจุบันมีหลายแพลตฟอร์มที่ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วมากโดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ในบทความนี้เราจึงนำแพลตฟอร์มสร้างเว็บยอดนิยม 2 แพลตฟอร์มคือ WordPress และ Wix มานำเสนอ รวมทั้งบอกข้อดีข้อเสียให้คุณอย่างละเอียดเพื่อพิจารณานำไปใช้งานครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเลือกแบบไหนล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณว่าอยากให้เว็บไซต์ทำอะไรได้บ้าง มีความซับซ้อนมากขนาดไหน เช่น อยากให้เป็นแค่เว็บไซต์ให้ข้อมูลเป็นหน้าเป็นตาบริษัท หรืออยากแปลงโฉมเว็บไซต์ให้เป็น E-Commerce แพลตฟอร์ม ซื้อ-ขายเน้นในการทำกำไร ฯลฯ  

แนะนำแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่นิยม

สร้างเว็บไซต์ด้วย Wix.com

Wix.com เป็นแพลตฟอร์มการสร้างเว็บที่ใคร ๆ ก็ทำเองได้ มีหน้าตาสวยงามออกแนวฝรั่งเพราะกำเนิดจากฝั่งตะวันตก เป็น Website Builder ที่ไม่ต้องอาศัยความรู้การเขียนโค้ดเลย มีให้บริการทั้งแบบฟรี (มีข้อจำกัดเรื่องชื่อเว็บไซต์จะต้องติดคำว่า wix) และแบบเสียเงินซื้อ Premium Package ซึ่งจะมาพร้อมกับ hosting และ domain name ฟรีที่คุณเลือกได้ เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการความซับซ้อนมากและเว็บที่เน้นความสวยงาม ให้ข้อมูล แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการทำ e-commerce ในประเทศไทยด้วยความยากของการผูกระบบ payment gateway 

ข้อดีของการสร้างเว็บไซต์ด้วย Wix

  • มีเทมเพลตเว็บไซต์ให้เลือกใช้งานมากมาย ดีไซน์สวยงาม แบ่งเป็นหมวดหมู่ธุรกิจ ใช้เป็นไอเดียเริ่มต้นได้ดี 
  • ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ดก็สามารถใช้ได้ เพียงลากแล้ววางก็จัดหน้าเว็บและแก้ไขข้อมูลเองได้ดั่งใจ ลักษณะเหมือนทำ Power Point อยู่ 
  • มี Wix App Market ไว้ใช้เพิ่มฟีเจอร์บนเว็บไซต์ได้เอง เช่น เพิ่มช่อง Chat กับลูกค้าหรือเพิ่มช่องเขียน Blog การ link กับเพจโซเชียลต่าง ๆ ก็สามารถทำได้หลากหลาย
  • มี Website Hosting และ Domain Name รวมใน Package เมื่อซื้อ Premium Plan 
  • ตั้งค่าภาษาต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้เลยไม่ต้องมี plugin 
  • เว็บไซต์ Wix จะมีความปลอดภัยสูงมากและ update ตัวเองตลอดเวลา ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้อง update plug-in ใด ๆ เหมือนการใช้แพลตฟอร์มอื่น ๆ เรียกได้ว่าจบครบ สะดวกที่สุด

ข้อเสียของการสร้างเว็บไซต์ด้วย Wix

  • มี Plug-in หรือเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับฟังก์ชันอื่น ๆ น้อยกว่า WordPress (แต่หากเรียกว่าไม่น้อยก็ไม่ผิด เพราะครอบคลุมฟังก์ชันหลัก ๆ ทั้งหมดจนใช้ไม่หมดครับ) 
  • ไม่แนะนำเลยสำหรับเว็บไซต์ e-commerce ในประเทศไทย เพราะ Wix จะต้องเชื่อมกับ PayPal เท่านั้น (ข้อมูล ณ ปี 2022) ซึ่งบางครั้งอาจทำให้คุณต้องขายเป็นสกุลเงิน THB และถอนเงินกลับเป็น US เกิดความยุ่งยากตามมาภายหลัง นอกจากนี้ยังไม่สามารถใช้ payment gateway อื่น ๆ ได้อีกด้วยนอกจาก PayPal แต่หากคุณอยู่ที่ต่างประเทศโดยเฉพาะแถบอเมริกา ยุโรป สามารถใช้ได้และมีตัวเลือกเยอะ
  • ไม่สามารถทำการย้ายเว็บไซต์ hosting ไปที่อื่นได้ ต้องอยู่กับ Wix เนื่องจาก Wix ให้บริการในฐานะแพลตฟอร์มที่ให้เราสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาและเป็น CMS จึงจะมีค่าบริการส่วนนี้ซึ่งก็ไม่ได้แพงไปกว่าค่า Hosting ปกติของเว็บไซต์ที่เขียนจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ นับว่าเป็นข้อเสียที่ไม่ใช่ข้อเสียซะทีเดียว 
  • ระบบช่วยเหลือยังไม่มีเป็นภาษาไทย สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการคุยกับคนไทยหรือไม่ถนัดภาษาอังกฤษนัก ระบบช่วยเหลือของ Wix จะยังจำกัดอยู่ ไม่มีบริษัทและคอลเซนเตอร์ภาษาไทยรองรับ ณ ปัจจุบัน

สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

โปรแกรม WordPress เป็นโปรแกรมสร้างและบริหารเว็บไซต์สำเร็จรูปหรือ Content Management System (CMS) ไม่ต้องใช้ความรู้เรื่องโค้ดหรือเขียนโปรแกรมมากนักเมื่อสร้างเสร็จ แต่ตอนสร้างควรใช้โปรแกรมเมอร์ที่รู้เรื่องโค้ดเนื่องจากจะต้องเขียนขึ้นมาให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงจะสามารถ hand over ให้เจ้าของธุรกิจจัดการข้อมูลภายหลังได้ง่าย WordPress นั้นนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเนื่องจากมีความเป็นมาตรฐาน

ข้อดีของการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

  • มีธีมให้เลือกมากมาย ดีไซน์สวย คล้ายกับ Wix เป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ของโลก
  • WordPress เป็นระบบแบบเปิด มี Plug-in ให้เลือกใช้เยอะมากกว่าเนื่องจากมีผู้ใช้งานทั่วโลกจำนวนมาก
  • เหมาะกับการทำเว็บ e-commerce ในไทย เนื่องจากมี plug-in WooCommerce ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อใช้ทำเว็บไซต์สำหรับ e-commerce โดยตรง นิยมใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน สามารถรองรับสินค้าได้หลายพันหลายหมื่นชิ้นได้อย่างสบายหากสร้างเว็บไซต์อย่างถูกต้อง
  • มีตัวช่วยในการทำ SEO โดยใช้ plugin Yoast SEO ฯลฯ 
  • เป็นที่นิยมสำหรับลูกค้าที่ต้องการฟังก์ชันที่ Custom พิเศษแบบที่ต้องเขียนโค้ดขึ้นมา สามารถเชื่อมกับ platform อื่น ๆ ได้ง่าย

ข้อเสียของการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

  • ระบบมีความซับซ้อนกว่า Wix และอาจจะต้องพึ่ง developer ในการปรับปรุงแก้ไขเพราะบางจุดอาจซับซ้อน ต้องเขียนโค้ดเพื่อการปรับแต่ง ระบบต่าง ๆ ต้องอาศัยความเคยชินในการทำงานหลังบ้านมากกว่า
  • มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการใช้ plugin บางตัวที่อยู่บนระบบ 
  • ต้องอัปเดต Plug-in ต่าง ๆ อยู่เสมอด้วยตัวเอง หรือผ่าน Webmaster ที่มีประสบการณ์ในการจัดการเว็บไซต์ หากไม่ update นาน ๆ จะทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อาจถูก hack ได้ จึงควรมีคนที่มีความรู้ดูแล
  • หากออกแบบไม่ดี จะแก้ไขยากมากและไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้เนื่องจากการแก้ไขโค้ดต้องพึ่ง developer หลาย ๆ บริษัทที่ใช้ developer ที่ไม่ได้มาตรฐานจะแก้กันไม่จบ ยืดเยื้อเป็นปี ๆ โดยไม่มีทางออก

ถ้าให้เราสรุปสั้น ๆ เราจะแนะนำว่าหากคุณต้องการสร้างเว็บที่ไม่ใช่ e-commerce เน้นความสวยงามและฟังก์ชันมาตรฐานครบครันก็สามารถใช้ Wix ได้ แต่ถ้าต้องการเว็บไซต์ที่มีการปรับแต่งเยอะ เป็นเว็บ e-commerce หรือมีฟังก์ชันการใช้งานที่ custom มาก ๆ ให้เลือก WordPress ครับ

 

ถึงตรงนี้แล้วเมื่อคุณเลือกระบบหลังบ้านที่เหมาะสม ก็ควรมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการจัดทำเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะใช้ page speed test การดู website structure ฯลฯ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่สร้างแล้วก็ยังซื้อขายไม่คล่อง โหลดช้า ใช้งานลำบาก จนลูกค้าถอดใจไปใช้ shopee เหมือนเดิม แบบนี้ก็จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี หากคุณกำลังสงสัยว่าเว็บไซต์ได้มาตรฐานหรือไม่ หรือหากต้องการสร้างเว็บไซต์ใหม่ที่ใช้ได้ดีไปอีกหลายปี สามารถติดต่อทีมงาน Convert Digital ได้วันนี้ เราสามารถสร้างให้คุณได้ทั้ง Wix และ WordPress ตามที่คุณต้องการ

Read More

การตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจโรงแรมต้อนรับการเปิดประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์โควิด 19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมที่หลายแห่งต้องลดขนาดธุรกิจ หรือแม้แต่หยุดให้บริการชั่วคราวตามมาตรการต่าง ๆ เราในฐานะผู้ทำการตลาดออนไลน์ให้โรงแรมทุกระดับตั้งแต่ Inter Chain ที่คุ้นหู ไปจนถึง private hotel ระดับ 3-5 ดาว ไม่ว่าคุณจะเป็นโรงแรมแบบไหน ช่วงสองปีที่ผ่านมาก็นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เป็นอย่างดี 

ในปัจจุบันด้วยสถานการณ์ที่เริ่มผ่อนคลายขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่โครงการ Sandbox โครงการ Test & Go และล่าสุดกับการยกเลิกผลตรวจโครงการ Test & Go เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบอย่างคึกคักอีกครั้ง หลายโรงแรมที่เคยหยุดกิจการหรือระงับการทำการตลาดออนไลน์ชั่วคราวก็ต่างกลับมาเดินเครื่องเร่งหาลูกค้า แต่คำถามสำคัญที่ผู้บริหารมักจะพบคือคุณพร้อมแค่ไหนในการกลับมาเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หลังจากที่ไม่ได้ให้บริการอย่างเต็มรูปแบบมากกว่าสองปี? มาถึงวันนี้รูปแบบในการทำการตลาดของคุณยังเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนใช้ได้ผลในสองปีก่อน ในปัจจุบันก็มีทั้งโฆษณารูปแบบใหม่ ๆ แพลตฟอร์มที่เปลี่ยนไป ฯลฯ ให้คุณขบคิดเพิ่มขึ้น

การมีกลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับโรงแรมที่ชัดเจน และการกล้าลงทุนอย่างเหมาะสม มี data และผลตอบแทนที่คาดหวังได้เป็นเกณฑ์จะเป็นตัวช่วยให้โรงแรมสามารถกลับเข้าสู่ตลาดการแข่งขันได้รวดเร็วและได้เปรียบกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมคู่แข่งหรือแม้แต่ OTA อย่าง Booking.com หรือ Expedia 

เมื่อสถานการณ์บังคับให้คุณชนะเกมการตลาดออนไลน์โรงแรมที่แข่งขันสูง (มาก) คุณรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร?

การทำการตลาดออนไลน์ให้โรงแรมนั้นสามารถทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เจาะจงให้ตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้นหากทำอย่างมีหลักการและมีการวางแผนเก็บข้อมูลอย่างละเอียดแต่แรก ผลสำรวจจากโครงการ Thailand Digital Outlook ปี 2564 พบว่าคนไทยกว่า 85.1% ใช้งานอินเทอร์เน็ต และใช้เวลานานถึง 6 – 10 ชั่วโมง จากตัวเลขนี้จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันคนใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์ไปแล้วเกือบครึ่งวัน ดังนั้นการย้ายธุรกิจของตัวเองขึ้นไปทำการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ “ด้วยตัวเอง” โดยไม่ง้อ booking จาก OTAs จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะหากคุณปล่อยให้ OTAs ขายโรงแรมคุณจนเคยชิน การจะเพิ่ม % Direct booking นั้นอาจแทบเป็นไปไม่ได้เลยหากคุณไม่มีความพร้อมเพียงพอทั้งด้านบุคลากรที่มีความสามารถ การลงทุน ฯลฯ 

เครื่องมือการตลาดออนไลน์โรงแรมหลัก ๆ ที่ควรเลือกมาต้อนรับการเปิดประเทศ

ในเมื่อทุกโรงแรมมีเครื่องมือเท่ากัน สิ่งสำคัญที่สุดจึงเป็นการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมอย่างทันท่วงที เราเชื่อว่าคุณคงใช้เครื่องมีเหล่านี้อยู่แล้ว แต่การใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น น้อยโรงแรมที่จะทำได้ ดังนั้นเราจะมีมาตรฐานให้คุณลองนำไปใช้ดูครับ

Social Media

การสร้างแบรนด์และคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้โรงแรมเป็นที่รู้จักได้เยอะขึ้นและง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำคอนเทนต์ที่มีลักษณะเฉพาะ มีความแตกต่างและเฉพาะตัว จะทำให้แบรนด์ของโรงแรมมีความน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการทำคอนเทนต์ที่เป็นภาพนิ่งแล้ว การทำวิดีโอจะทำให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และยังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศรอบ ๆ สถานที่ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่จะเป็นสิ่งที่จะช่วยประกอบการตัดสินใจของลูกค้าที่จะมาเข้าพักได้เป็นอย่างดี

นอกจากการใช้โซเซียลมีเดียเป็นช่องทางการโปรโมตที่พักและโปรโมชันแล้ว การเพิ่มช่องทางการรับ booking ผ่านโซเซียลมีเดีย โดยเฉพาะโรงแรมที่มีความสวยงามหรือ boutique hotel ต่าง ๆ ที่ถ่ายรูปสวยจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ 

นอกเหนือจากการลงโพสต์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอแล้ว เราขอเน้นย้ำกว่าการยิง Ads ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แล้วในยุคนี้ เพราะ Facebook, Instagram และช่องทางอื่น ๆ ล้วนแต่มี content เพิ่มมากขึ้นทุกวัน การโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนผู้เล่นทำให้ทุกคนแย่งพื้นที่การโฆษณาจึงทำให้ Ads แพงขึ้นอย่างชัดเจน การเลือก Targeted Audiences ถือว่าสำคัญมาก เพราะแสดงให้เห็นว่าเรารู้จักลูกค้าเรามากแค่ไหน และเราสามารถเสิร์ฟในสิ่งที่ลูกค้าเราต้องการได้ตรงใจหรือไม่ และผลลัพธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวังในการทำแคมเปญ คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ทั้งหมดนี้เราแนะนำว่าคุณควรวางระบบให้วัดผลได้ถึง ROI และจำนวนยอดจอง ซึ่งหลายโรงแรมล้วนทำเช่นนี้เพื่อจะวัดประสิทธิภาพของ Ads แต่ละแคมเปญที่รันโดยใช้ Facebook Pixel ร่วมกับเครื่องมืออย่าง Google Analytics, Adobe Omniture ฯลฯ 

สำหรับโรงแรมไหนที่ไม่สามารถทำ tracking ได้ถึงขั้นนี้ เราก็แนะนำให้ใช้ Ads ประเภท Message ซึ่งสามารถนับจำนวนลูกค้าที่ทัก Inbox เข้ามาสอบถามต่อเดือน และวัดจากความถูกหรือแพงของ cost/message เพื่อวัดประสิทธิภาพของ Ads ไปในตัวแทน

SEO (Search Engine Optimization)

จะดีแค่ไหนถ้าลูกค้าของคุณเข้า Google แล้วพิมพ์คำค้นหากว้าง ๆ อย่าง “โรงแรม 5 ดาวพัทยา” แล้วเว็บไซต์ของคุณขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ นั่นหมายความว่าคุณจะได้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีความสนใจซื้อจำนวนมากมาแบบไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา แถมเจอโรงแรมคุณโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปค้นหาจาก OTAs ให้ทางโรงแรมต้องเสียค่าคอมมิชชันแพง ๆ อีกด้วย

สำหรับโรงแรมที่ไม่เคยทำ SEO มาก่อน การทำ SEO เริ่มต้นง่าย ๆ ที่การทำ Keyword Research สำหรับตลาดในพื้นที่ของคุณ จากนั้นนำมาปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีคำเหล่านั้นมากขึ้น นำมาเขียนเป็นบทความ มีการทำ SEO-Optimization รวมไปจนถึงการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมและโหลดได้ไวบนมือถือ สิ่งที่สำคัญการทำ SEO จะต้องอาศัยเวลาและความสม่ำเสมอ เพราะผลลัพธ์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 1 เดือน อาจจะต้องใช้เวลาเป็นหลักปีถึงจะเห็นผลเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และการที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เราต้องการนั้นอาศัยความสม่ำเสมอในการเขียนบทความที่น่าสนใจโดยอิงหลักการทำ SEO ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาวเราเข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกโรงแรมจะอนุมัติงบส่วนนี้ แต่อย่างไรก็ตามหากคุณไม่เริ่มทำก็จะไม่สามารถเพิ่ม % Direct Booking ให้โรงแรมได้อย่างมีนัยยะสำคัญเนื่องจากไม่มีใครหาเว็บไซต์คุณเจอจากคำค้นหาสำคัญ ๆ นั่นเอง

การตลาดออนไลน์ด้วย Google My Business

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในหมวดการทำ SEO โรงแรมก็คือการทำ Local SEO ที่จะทำให้เว็บไซต์โรงแรมติดอยู่หน้าหนึ่งของ Google โดยที่นำ Longtail Keywords มาใช้ พร้อมเพิ่มคำพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานที่ตั้งของโรงแรม เช่น “โรงแรมภูเก็ต หาดกะรน” เราต้องมีการเพิ่มคำเหล่านี้ในเว็บไซต์ของเราเพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายแคบลงและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในส่วนข้อมูลบน Google My Business / Google Maps นี้ก็สำคัญเช่นกันว่าข้อมูลต้องอัปเดตอย่างถูกต้องและครบถ้วน Google Map ควรปักหมุดสถานที่อย่างถูกต้อง และยิ่งถ้ามีรีวิวคะแนนดี ๆ จากลูกค้า ก็ส่งผลต่อแสดงผลลำดับดี ๆ บนหน้า Google ได้อีกด้วย เมื่อคุณลองไปไล่ดูทุกช่องทางตั้งแต่เว็บไซต์, social media, Google maps, etc. คุณอาจประหลาดใจว่า hotel address และเบอร์ติดต่ออาจไม่เหมือนกันสักช่องทางเพราะเคยทำไว้นานแล้ว สิ่งเหล่านี้ควรเหมือนกันทุกตัวอักษรเพื่อให้คนค้นหาคุณได้อย่างถูกต้อง

Paid Ads

หรือการโฆษณาออนไลน์แบบซื้อมา เช่นการลงโฆษณากับ Google เป็นการทำโฆษณาออนไลน์ทำให้โรงแรมสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหาโรงแรมอยู่ในขณะนั้น ทำให้เราไม่พลาดที่จะนำเว็บไซต์ขึ้นโชว์ในตำแหน่ง #1-4 ตอนที่ลูกค้าค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดต่าง ๆ เช่น “โรงแรม 5 ดาวกระบี่” “ร้านอาหารเชียงใหม่” ฯลฯ ที่เราทำการเลือกไว้ หรือการทำ Ads รูปแบบอื่นบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น TripAdvisor, Expedia ฯลฯ ที่ต้องจ่ายเงินโฆษณา

การทำ Paid Ads ในธุรกิจโรงแรม ต้องบอกเลยว่าอาจจะต้องใช้เงินค่าโฆษณาค่อนข้างสูงเพราะต้องทำการแข่งขันกับเหล่า OTAs เจ้าใหญ่ที่ก็ทำการตลาดออนไลน์ด้วยงบที่มากกว่า รวมถึงต้องจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติจากหลายประเทศ ซึ่งขนาดประเทศอย่าง US ก็เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นเราจะต้องประเมินค่าโฆษณาให้เหมาะสมและขึ้นอยู่กับ Strategy ของแต่ละโรงแรมว่าจะลงทุนเท่าใด มี ROI กี่เท่า โดยมากแล้วโรงแรมที่เล็กมาก ๆ และมีงบน้อยจะใช้งบประมาณตั้งแต่เดือนละ 15,000 บาทขึ้นไปเป็นค่าโฆษณา ส่วนโรงใหญ่ ๆ อาจแตะหลักหลายหมื่นหรือแสนต้น ๆ เพื่อจับกลุ่มลูกค้าในหลายประเทศ ในหลายเมืองที่ให้กำไรดีที่สุด ซึ่งการที่โรงแรมยอมลงทุนได้มากเนื่องจากมีการทำ tracking ไว้ดีแล้วจนสามารถเห็นได้ว่ามียอดจองเข้ามาเป็นจำนวนกี่บาทนั่นเอง การติดตั้ง conversion tracking จึงเป็นเรื่องสำคัญมากก่อนที่คุณจะทำโฆษณาก้อนใหญ่

การตลาดออนไลน์ด้วย KOL

รีวิวจาก KOL / Influencer

การมี KOL ที่มีผู้ติดตามเหนียวแน่น มีการสร้างคอนเทนต์ที่ดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ถ่ายทอดประสบการณ์การเข้าพักที่โรงแรมของคุณได้อย่างสวยงาม ซึ่งรีวิวส่วนใหญ่จะเป็นการรีวิวบนโซเซียลมีเดียต่าง ๆ การเล่าเรื่องจากบุคคลเหล่านี้สามารถสร้างแรงจูงใจในการเข้าพักและช่วยสร้างกระแสให้โรงแรมเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ในตลาดคนไทยต้องยอมรับว่าวิธีนี้ค่อนข้างที่จะได้ผลดี แต่อาจจะมีข้อที่ต้องระวัง นั่นก็คือ ต้องทำการรีวิวอย่างจริงใจและตรงไปตรงมาถึงจะได้ผลดีระยะยาว มิฉะนั้นอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย รวมถึงไลฟ์สไตล์การนำเสนอของ KOL ต้องเหมาะกับโรงแรมของเราด้วยเช่นกัน เพราะจะส่งผลถึงภาพลักษณ์ของโรงแรมที่สร้างมาด้วย การเลือก KOL ให้ได้ผลนั้นจำเป็นต้องใช้ KOL ที่เป็นที่รู้จักในวงการ หรือมีผู้ติดตามจำนวนมากเช่นหลักหลายแสนคนจึงจะได้ผลดี หากใช้ KOL ที่ผู้ติดตามน้อย เช่นต่ำกว่า 10,000 follower มักจะไม่เกิดผลที่มีนัยยะสำคัญ และนอกจากนี้ยังควรทำอย่างต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน ปนกันไปทั้ง KOL ที่มีผู้ติดตามเยอะและปานกลาง ไม่ใช่ทำเพียงแค่เดือนเดียวและคาดหวังผลลัพธ์ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นในแง่ของยอดขาย

ไม่ว่าคุณจะกำลังการทำการตลาดออนไลน์โรงแรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ที่มากขึ้นอย่างไร เราเชื่อได้ว่าจุดประสงค์หลัก ๆ ก็คือการสร้างรายได้ให้กับโรงแรมอย่างยั่งยืนและเพิ่มจำนวน Direct Booking % เพื่อลดค่าคอมมิชชันที่ต้องจ่ายลง 

 

การตลาดออนไลน์โรงแรมสามารถเริ่มทำด้วยตัวเองได้ แต่ถ้าคุณและทีมงานทำแล้วมีข้อกังวล ไม่สามารถวัดผลได้ชัดเจนเป็นตัวเลข ROI หรือแม้แต่จะขาดความรู้ความชำนาญในการเริ่มต้น ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Convert Digital สามารถเป็นตัวช่วยให้กับโรงแรมของคุณได้ด้วยบริการด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น SEO โซเซียลมีเดีย การซื้อโฆษณาออนไลน์ งานครีเอทีฟที่เป็นภาพและวิดีโอ การสร้างแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีผลงานการเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจให้กับโรงแรมตั้งแต่ 3 ดาว ไปจนถึง 5 ดาว luxury ที่เป็นโรงแรม chain ทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงมั่นใจได้ว่าเราจะมีประสบการณ์และความชำนาญมากเพียงพอในการสร้างรายได้ผ่านการตลาดออนไลน์โรงแรมให้คุณได้เป็นอย่างดี

 

ชมผลงานโรงแรมของเราที่ : www.convertdigital.co.th/th/bangkok-digital-marketing-agency-project

Read More

อัปเดตเทรนด์การตลาดออนไลน์หลังช่วงโควิด แบบไหนอิน แบบไหนเอ้าท์

ถึงแม้ว่าวิกฤติจะหนักหนาแค่ไหน สุดท้ายพวกเราก็จะผ่านพ้นมันไปได้ด้วยกันในท้ายที่สุด เช่นเดียวกันกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ที่ดูเหมือนจะแผ่วลงให้พักหายใจบ้าง แต่สุดท้าย มันก็กลับมาระบาดใหม่อีกครั้ง ด้วยเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ที่กำลังระบาดหนักในยุโรป จนทางการต้องประกาศล็อกดาวน์ไปตาม ๆ กัน เพราะในครั้งนี้ เจ้าเชื้อโควิด 19 ตัวใหม่นั้น ได้มีการเปลี่ยนตำแหน่งแขนเกาะไปจากเดิมราว ๆ 30 ตำแหน่งเลยทีเดียว แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างในการหยุดทำธุรกิจแต่อย่างใด เพราะถ้าเงินทุนในธุรกิจหยุดหมุน ระบบเศรษฐกิจก็อาจจะล้มครืนตามกันมาติด ๆ เช่นกัน ถึงแม้ว่าคุณจะยังขยายสเกลธุรกิจในตอนนี้ยังไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ควรรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ และแนะนำสินค้าบริการต่าง ๆ ให้ลูกค้าใหม่ไปพลาง ๆ ก่อน และเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง จะได้เริ่มรุกเกมหนัก เตรียมพร้อมปล่อยของดีออกมาทำการตลาดออนไลน์หลังโควิดได้อย่างทันท่วงที

ทำไมต้องตามเทรนด์การตลาดออนไลน์หลังโควิดด้วย

แน่นอนว่าคงมีหลายคนทราบผลวิเคราะห์สถิติจากกราฟตัวเลขผู้ติดเชื้อในปัจจุบันของต่างชาติแล้วว่า เจ้าเชื้อโควิด 19 จะอยู่กับเราไปอีกนาน อย่างน้อย ๆ ก็อีก 16 เดือน หรือในช่วงต้นของไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นเสมือนฤดูหนาวที่แสนจะเหน็บหนาว ที่พวกเราต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ แต่เวลาปีกว่าที่จะกำลังจะต้องฝ่าฟันนั้น เราไม่ควรทำแค่การประคองตัวให้บริษัทสามารถอยู่ต่อได้เท่านั้น แต่นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะรีบศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่ออัปสกิลให้กับคนในองค์กร รวมไปถึงการหาแนวทางใหม่ ๆ ให้พร้อมรบสำหรับการทำการตลาดออนไลน์หลังโควิด

หมดยุคปลาเร็วกินปลาช้าไปนานแล้ว นี่คือยุคปลาใหญ่ว่ายเร็ว

เราไม่ได้มาทำลายความฝันของคุณ แต่เราเพียงจะมาปลุกให้คุณตื่นจากความฝัน ก่อนที่จะหนีน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ไม่ทัน เพราะคุณเองก็น่าจะเคยได้ยินข่าว SCB ยานแม่ ส่ง SCBx ยานลูกไปซื้อหุ้น Bitkub แพลตฟอร์มในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลและคริปโตเคอร์เรนซี ที่เป็นข่าวใหญ่โตมากมาเมื่อเดือนก่อน เพราะมูลค่าการซื้อขายนั้นสูงถึงหลักหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว และหุ้นที่ได้มานั้น ก็ได้มาเพียง 51 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากพอที่จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้แบบปริ่มน้ำเท่านั้น นอกจากนี้ ทาง SCBx เอง ก็กำลังมองหาโอกาสการลงทุนกับกิจการอื่น ๆ อีกด้วย นั่นเท่ากับว่า เงินหมื่นล้านสำหรับทาง SCBx นั้น เป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย ก่อนเริ่มเกมเร็วไล่ซื้อกิจการเพื่อเก็งกำไร จากการเติบโตของธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีในอนาคตนั่นเอง

การศึกษาอะไรให้ลึกซึ้งต้องใช้เวลา การสะสมความรู้เรื่องการตลาดออนไลน์หลังโควิด จะทำให้คุณไม่เหนื่อยเกินไป เมื่อวันฟ้าใสมาถึง

ความรู้นั้นเป็นเรื่องของการสะสม เหมือนอย่างที่คุณต้องไล่เรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม มาจนจบมหาวิทยาลัย แล้วบางคนอาจจะไปต่อระดับบัณฑิตวิทยาลัยต่อนั่นแหละ กว่าจะมีความรู้มากเพียงพอ และเป็นที่ยอมรับขององค์กร ที่จะวางใจให้คุณไปทำงานให้เขาได้ ก็ใช้เวลานับ 10 ปีเลยทีเดียว ความรู้เรื่องการตลาดออนไลน์หลังโควิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่รีบศึกษาเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ พอโอกาสดี ๆ เข้ามา คุณอาจจะคว้ามันไว้ไม่ทัน

การตลาดออนไลน์หลังโควิดมีอะไรบ้าง

สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ก็คือ การทำการตลาดแบบออฟไลน์อาจจะมีบทบาทน้อยลงมาก เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อ 19 นั้นยากต่อการควบคุมจริง ๆ ตัวอย่าง คอนเสิร์ต Big Mountain ครั้งที่ 12 ก็เพิ่งถูกยกเลิกไป หรือ Pattaya Music Festival 2021 ก็มีผู้ติดเชื้อกันระเนระนาด โอกาสที่จะกลับมารวมตัวในในโลกความเป็นจริงนั้นน้อยลงทุกที ดังนั้น การทำการตลาดออนไลน์หลังโควิดนั้น จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ภายใต้เทคโนโลยีที่ถูกเปิดเผยออกมาให้ประชนทั่วไปได้ใช้งานกันในตอนนี้

ยังสามารถทำการตลาดออนไลน์หลังโควิดด้วยการยิงโฆษณาได้ แต่ต้องเปลี่ยนตัวสื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น

ใครที่ยังยิงโฆษณาผ่าน Google Ads หรือ ใช้บริการ Facebook Ads ก็ยังไม่ต้องตกใจอะไรมาก เราบอกเลยว่า 2 เจ้ายักษ์ใหญ่นี้มีอนาคตอยู่รอดปลอดภัย และน่าจะได้ไปต่อสูงมาก ๆ เพราะมันเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำคัญ ที่เหล่าบรรดา Big Four เขาต้องเก็บเอาไว้ แต่สื่อที่จะใช้ยิงโฆษณา จะเป็นแค่ตัวหนังสือ หรือภาพนิ่งไม่ได้แล้ว ตอนนี้เทรนด์ที่กำลังมาแรง คือ เป็นคลิปวิดีโอสั้น ๆ ซึ่งต้องมีคุณภาพดี ทั้งเรื่องความคมชัด เสียง เนื้อหา และวิธีการสื่อสาร

Video Creator
Metaverse World

Metaverse กำลังมา โอกาสทองของคนอยากเปิดเกมรุกทำการตลาดออนไลน์หลังโควิด

จริง ๆ เราไม่รู้ว่า Metaverse จะกลายเป็นตลาดใหม่ที่คนนิยมกันมาก ๆ เลยรึเปล่า เพราะมันเป็นช่องทางที่ค่อนข้างใหม่สำหรับประชากรส่วนใหญ่ทั่วโลก ซึ่งค่าแรกเข้าก็แพงมากแล้ว เพราะต้องซื้อแว่นตาพิเศษราคาเริ่มต้นที่หลักหมื่นด้วยซ้ำ ไหนจะมีออฟชันพิเศษ ทั้งชุดและถุงมือที่จะสะท้อนแรงกดทับ ตลอดจนระบบ Censor วัดการบีบน้ำหนัก เมื่อมีการขยับมือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เท่านี้รวมกันก็เหยียบแสนแล้ว และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ค่าไฟ และค่าอินเทอร์เน็ต แค่เข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตกันในแต่ละวันแบบนี้ คืออินเตอร์เน็ตก็หมดกันไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว พอ Metaverse มา ชุดข้อมูลจำนวนมหาศาลที่จะต้องผ่านกันนั้นเยอะกว่าปัจจุบันไม่รู้ตั้งกี่เท่า บอกเลยว่าค่าอินเทอร์เน็ตเดือนละพันนี่เอาไม่อยู่อย่างแน่นอน ส่วนค่าไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นตามกำลังวัตต์ของอุปกรณ์ที่คุณใช้ ซึ่งมันอาจจะแพงเกินไปสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าถึงได้ ด้วยราคาค่าบริการในปัจจุบัน ดังนั้น Metaverse จึงอาจเป็นแนวทางในการทำการตลาดออนไลน์หลังโควิด สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงนั่นเอง

เพื่อน ๆ จะอาจจะเห็นว่าเทรนด์การตลาดออนไลน์หลังโควิด นั้นดูค่อนข้างคลุมเครือ และยังไม่มีอะไรที่แน่นอนแบบฟันธงได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะเรายังไม่เคยต้องเดินทางทำธุรกิจในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสที่ยาวนานและหนักหน่วงขนาดนี้ ด้วยจำนวนประชากรโลกอันมหาศาล ตลอดจนวิถีความเป็นอยู่ของผู้คน รวมไปถึงวิธีการคิดนั้นซับซ้อน แต่ลื่นไหล และยากที่จะควบคุมได้เหมือนอย่างในปัจจุบัน มันจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่เราต้องเกาะเทรนด์การตลาดออนไลน์หลังโควิดไว้ให้แน่นๆ ถึงแม้ว่าเมื่อวันเวลานั้นได้มาถึง ตัวเทรนด์ที่น่าจะมีโอกาสมาแรงในตอนนี้ อาจถูกเปลี่ยนผ่านเป็นการตลาดแบบใหม่ในอนาคต แต่คุณก็จะไม่ตกรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะนำพาองค์กรของคุณให้ก้าวข้ามผ่านมหาวิกฤติของโลก ที่พวกเราต้องร่วมเผชิญกันไปได้ตลอดรอดฝั่งในที่สุดนั่นเอง เพราะยุคนี้ไม่ใช่ยุคปลาเร็วกินปลาช้าอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นยุค ปลาใหญ่ ที่ว่ายเร็ว และกินรวบทั้งหมด เพื่อความรู้รอดนั่นเอง

Read More

11 โฆษณาบน Facebook ที่ประสบความสำเร็จ คนดูเป็นล้าน ไม่เลื่อนผ่านไปไหน

ถึงแม้จะมีหลายคนพร่ำบ่นกันหนาหู ว่าจะไม่เลือกลงโฆษณาบน Facebook แล้ว เพราะว่าพี่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์คขึ้นค่าโฆษณาหนักกว่าเดิมอยู่มากโข หลังจากที่ทาง Facebook ยอมรับเงื่อนไขการเก็บภาษีการค้าผ่านช่องทางดิจิทัลระหว่างประเทศ แต่ออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับตอนที่กำลังซื้อสินค้าของคนในประเทศไทยเริ่มตกต่ำลงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรายได้ที่เคยมีก็ต้องหดหาย เนื่องจากการล็อกดาวน์ และกฎเคอร์ฟิวในการเปิดห้างร้านต่าง ๆ ส่วนคนที่พอจะมีเครดิตไปกู้เงินจากธนาคารมาได้ ก็กู้เต็มวงเงินจนติดเพดาน ก่อหนี้ใหม่ไม่ได้อีกแล้ว ทำให้เงินไม่หมุนในระบบ ทั้ง ๆ ที่ทางรัฐบาลมีนโยบายให้ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เงินในส่วนนี้กลับไปกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่นำเงินไปลงทุนในหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี่เกือบทั้งหมด เพราะเงินทุนส่วนนี้ หมุนไปไม่ถึงนักลงทุนรายย่อยและคนทำงานนั่นเอง พอไม่มีเงิน ก็เลยซื้อของไม่ได้ หรือมีเงินเข้าบ้าง แต่เข้าน้อยมาก ก็จำเป็นต้องประหยัดให้มากขึ้น ตัดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยออกไป นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งสำคัญ ที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์รายย่อยนั้นมียอดขายที่ต่ำลง ทั้ง ๆ ที่ยอมจ่ายหนัก เพื่อประมูลยิงโฆษณาบน Facebook ในช่วงโควิดอย่างเต็มกำลังแล้วก็ตาม

โฆษณาบน Facebook นั้นยังไม่ตาย ถ้ายังอยากขายของให้ได้ ต้องรีบปรับตัว

สาเหตุที่เราได้เกริ่นนำไปข้างต้นนั้น เป็นเพียงแค่องค์ประกอบบางส่วนของปัญหายอดขายบน Facebook ตกเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว มันยังมีสาเหตุอื่นอีกมากมาย ที่เราต้องพิจารณาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับอัลกอริทึ่มของ Facebook ที่พยายามจะส่งเสริมคอนเทนต์ที่เป็นคลิปวิดีโอขนาดสั้น ๆ มากกว่าภาพนิ่งหรือตัวอักษร หากคุณปรับตัวโฆษณาที่จะยิง Ads ให้ตรงใจกับ Facebook ได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่ Facebook จะเพิ่มการมองเห็นให้คุณก็มีมากขึ้นด้วย

แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่สุดและมองข้ามไม่ได้เลยก็คือ ตัวคอนเทนต์และการถ่ายทอดเนื้อหาที่น่าสนใจ จนคนเห็นแล้วอยากรู้สึกแชร์ต่อ และกลายเป็นโฆษณาไวรัล ที่ใคร ๆ ก็ต้องดู ซึ่งมันยังเป็นสิ่งที่ทำได้จริง ๆ และเกิดขึ้นมานานมากแล้วในเมืองไทย โดยวันนี้ทาง Convert Digital ได้นำตัวอย่าง โฆษณาดี โฆษณาเด่น โฆษณาที่เคยเป็นประเด็น เพราะเป็นโฆษณาไวรัลที่มีคนดูมากกว่า 1,000,000 คน มาฝากให้เพื่อน ๆ ได้มาศึกษาในวันนี้ถึง 11 คลิปด้วยกัน เผื่อที่จะมีไอเดียใช้เป็นแนวทางในการทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้ในอนาคต จะมีคลิปไหนโดนใจเพื่อน ๆ บ้าง ต้องตามมาดูกันแล้วล่ะ

คลิปโฆษณาบน Facebook

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 11 แป้งศรีหอมจันทร์

ถึงแม้ว่าโฆษณาบน Facebook โฆษณานี้จะเก่าแล้ว แต่เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ แป้งศรีหอมจันทร์ เลยก็ว่าได้ เพราะคุณรวิศ หาญอุตสาหะได้ทำการ Rebranding ธุรกิจครอบครัวขนานใหญ่ ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์แป้งศรีหอมจันทร์นั้นทันสมัย น่าใช้งานมากยิ่งขึ้นขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจซื้อมาลองใช้ แถมยังดังไกลไปถึงประเทศญี่ปุ่น ในฐานะของดีจากเมืองไทยอีกด้วย คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 10 มหาวิทยาลัยหอการค้า

โฆษณานี้เพิ่งออกมาไม่นาน เมื่อเทียบกับโฆษณาในลักษณะที่คล้าย ๆ กันของม. กรุงเทพ ที่เคยส่งออกมาโปรโมทเมื่อหลายปีก่อน ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้คิดอย่างสร้างสรรค์ แต่มหาวิทยาลัยหอการค้า นำมารีเมคและเพิ่มกิมมิคด้วยการใส่ลูกเล่นเรื่องคนไม่มีฝันนั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้วเข้ามาเพิ่มเติมจากของเดิมที่เคยเป็นไวรัลมาก่อน ก็เลยทำให้โฆษณาเรื่องนี้ กลายเป็นไวรัลไปตามระเบียบ คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 9 น้าค่อม จาก Free Fire

เกมออนไลน์บนมือถือยักษ์ใหญ่จากสิงคโปร์ ที่เข้ามาตีตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในวงการ Gaming ที่ถึงแม้ว่าโควิดจะหนักหนา แต่ทางการีน่าเขาเอาอยู่ คนยิ่งอยู่บ้านนาน ก็ยิ่งมีเวลาเล่นเกมมากขึ้นตามไปด้วย ทางแบรนด์เลยจัดคลิปโฆษณาบน Facebook ที่มีคนดังมาเร้าอารมณ์ความดุเดือดในการต่อสู้ในเกมมากขึ้นนั่นเอง โดยคลิปนี้มีน้าค่อมร่วมแสดง ซึ่งอัดไว้ก่อนที่น้าค่อม ดาวตลกซุปเปอร์สตาร์ของไทยจะเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 8 แจ๊ค แฟนฉัน จาก Free Fire

คลิปนี้ก็คงคอนเซ็ปต์เดิมจาก Free Fire คือใช้คนดังมาช่วยโปรโมทโฆษณา มาในแนวหนังสั้นย้อนยุคเรื่องพจมาน โดยมีตัวแสดงหลักคือ แจ๊ค แฟนฉัน และ ป๋องแป๋ง เทยเที่ยวไทย มาถึงก็ด่ากันยับ สารพัดคำหยาบคาย ดุเดือดประหนึ่งว่ากำลังตีป้อมอย่างหัวร้อนในเกม คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 7 แน๊ค ชาร์ลี และ อาเธอร์ จาก Free Fire

Free Fire ไม่หยุดแค่นั้น แต่ยังดึงคนดังที่ดังกว่าคลิปก่อน ๆ ส่งออกมาอย่างต่อเนื่องด้วย แน๊ค ชาร์ลี พระเอกหนังเรื่อง แฟนฉัน และ อาเธอร์ หลานชายของแน๊คอีกที มาร่วมสร้างหนังสั้นกระตุ้นยอดขาย งานนี้ทั้งคู่ทะลุจอเข้าไปติดอยู่ในโลกของเกม Free Fire ที่ดูแล้วคล้าย ๆ กับทะลุมิติไปในเกมเหมือน Jumanji แต่คนก็ชอบมาก และมีคนดูมากกว่า 3.3 ล้านคนแล้วในขณะนี้ คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 6 เสื้อยืด X พี่เอ็ด 7 วิ (เสือร้องไห้) จาก GQ Thailand

ช่วงแรก ๆ ที่ทาง GQ Thailand พยายามสร้างโฆษณาบน Facebook เป็นของตัวเองในรุ่นบุกเบิกนั้น โฆษณาของเขานั้นออกจะหนักไปทางข้อมูลทางวิชาการมากมาย ทำให้ไม่เปรี้ยงเท่าไหร่ เลยเปลี่ยนแนวมาให้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยทำคลิปให้ และแน่นอนว่า ผลงานที่ออกมาก็ดีมาก ๆ เลย เพราะเป็นช่วงแรก ๆ ที่พี่เอ็ด 7 วิ (เสือร้องไห้) นั้นรับทำคลิปแต่งเพลงเชียร์ขายสินค้า ทำให้โฆษณาบน Facebook ชุดเสื้อยึดนั้นดังเปรี้ยง เพราะยังไม่ค่อยมีใครมาแต่งเพลงขายของแบบนี้เท่าไหร่ แต่ปัจจุบันนั้นมีโฆษณาแนวนี้ค่อนข้างมาก ทำให้คนไม่รู้สึกว้าวสักเท่าไหร่ คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 5 เสื้อเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ จาก GQ Thailand

อีกหนึ่งโฆษณาบน Facebook ที่กลายเป็นไวรัลเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงที่ยังสามารถเล่นสงกรานต์สาดน้ำกันได้ GQ Thailand ชิงเปิดตัวสินค้าในช่วงก่อนเทศกาลไม่นาน เพื่อชิงความสนใจของคนในช่วงนั้น โดยมีจุดเด่นของเสื้อยืด ที่ถ้าโดนน้ำเย็นแล้วจะเปลี่ยนสี ซึ่งแน่นอนว่ายอดขายปีนั้นพุ่งทะลุปรอทไปตามระเบียบ คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 4 กางเกงในสำหรับ CEO จาก GQ Thailand

สินค้าดีอย่างเดียวอาจไม่โดน แต่ถ้าคอนเทนต์โดน คนเห็นเป็นอยากซื้อ เพราะนี่คือโฆษณาบน Facebook ชุดใหม่ล่าสุดของ GQ Thailand ที่ออกแบบกางเกงในคุณภาพดี ราคาสูงออกมา โดยมีจุดขายว่าเป็นกางเกงในสำหรับ CEO ใส่แล้วไม่อับชื้น ไม่เจ็บน้อง กระชับ พร้อมรับทุกสถานการณ์ ใส่แล้วพรีเซนต์งานดี ตอบโจทย์หนุ่มออฟฟิศและคนรุ่นใหม่สุด ๆ ถึงแม้ว่าบรรยากาศมันอาจจะดูวาบหวิวไปบาง แต่เรียกแขกได้ดีเลยทีเดียว คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 3 I Hate Thailand จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ตัวนี้เป็นคลิปโฆษณาบน Facebook และนอก Facebook ที่ดังมาก ไม่ใช่ดังแค่ในไทย แต่ดังไปทั่วโลกเลยทีเดียว เพราะอยู่ ๆ ก็มีฝรั่งมาด่าคนไทย ว่าขโมยของเขาอย่างนู้นอย่างนี้ แต่สุดท้ายจบดีแบบตบหัวแล้วลูบหลัง ด้วยการบอกว่าเขารักเมืองไทย เพราะคนไทยช่วยให้อาหาร ให้ที่พัก ให้ความสนิทสนมกับเขา จนเข้าเปลี่ยนความคิด แล้วตัดจบด้วยการที่เด็กสาวเอากระเป๋ามาคืนเขา แล้วบอกว่าลิงมันเอาไป ที่เขาเคยคิดนั้นเป็นสิ่งที่ผิด แต่ช่วงหลัง ๆ มีกระแสดราม่าด้านลบเรื่องเหล่านี้ คลิปเลยโดนลบไปหลายที่แล้ว คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 2 พ่อใบ้ จากไทยประกันชีวิต

โฆษณาบน Facebook ไทยประกันชีวิต เรื่องนี้ดูกี่ครั้งก็บ่อน้ำตาแตก ไม่ใช่แตกแค่คนไทย แต่คนญี่ปุ่นก็น้ำตาซึมด้วย เป็นอีกหนึ่งโฆษณาที่ทุกคนต้องจำได้ สะท้อนให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูก ถึงแม้ว่าตัวพ่อจะมีความพิการ แต่ทั้งชีวิตก็มอบให้กับครอบครัวที่เขารัก เรียกความรู้สึกซาบซึ้งให้กับคนรุ่นใหม่รู้สึกว่า เขาควรตอบแทนพ่อแม่ด้วยการซื้อประกันให้พวกท่านบ้าง โดยไม่รู้สึกว่าโดนบังคับขายประกันแต่อย่างใด คลิกดูคลิป

โฆษณาบน Facebook ระดับไวรัลอันดับที่ 1 ทำดีแล้วได้อะไร จากไทยประกันชีวิต

ปิดท้ายด้วยไวรัลที่ดังที่สุดทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และแน่นอน เป็นโฆษณาบน Facebook ที่ดังที่สุดด้วยเช่นกัน ดังจนทำให้บริษัทได้รางวัล “No.1 Brand Thailand Awards 2019 –2020” หรือแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1ในหมวดธุรกิจประกันชีวิต ที่ครองใจผู้บริโภคไทย ตลอดจนรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ประจำปี 2562 รวมไปถึงรางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่นอันดับ 1 ประจำปี 2563 จากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อีกทั้งรางวัล Grand Stevie Award winners, Best of The 2020 International Business Awards และที่ว้าวที่สุดก็คือ ได้รับรางวัล International Business Awards 2020 (Stevie Awards) ประเทศสหรัฐอเมริกา (Most Valuable Corporate Response on COVID-19) อีกด้วย คลิกดูคลิป

จะเห็นได้ว่าคลิปโฆษณาบน Facebook บางคลิปนี่ก็ผ่านเวลาล่วงเลยมานานเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ยังเป็นเนื้อหาที่ติดตาต้องใจ จนใครหลาย ๆ คนยังสามารถจดจำได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าคุณตั้งใจทำโฆษณาบน Facebook ให้น่าสนใจและกลายเป็นโฆษณาไวรัลได้ มันจะช่วยส่งเสริมแบรนด์ของคุณได้เป็นอย่างดี ถึงเวลาจะล่วงเลยไปนับ 10 ปีแล้วก็ตามได้เช่นกัน ดีไม่ดีอาจดังไกลไปนอกประเทศด้วยนะเออ

หากสนใจอยากผลิตงานโฆษณาบน Facebook ที่ดี มีคุณภาพ และมีโอกาสกลายเป็นโฆษณาไวรัลแล้วล่ะก็ ลองมาขอคำปรึกษาจากผู้ให้บริการด้านการทำการตลาดออนไลน์ระดับมืออาชีพอย่าง Convert Digital กันนะครับ ปรึกษาเลยวันนี้ คลิก

Read More

บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์เพื่อบริษัท Startup

ตั้งแต่เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้แพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ณ ตอนนี้ ก็เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ 2 ปีแล้ว โลกได้เกิดบริษัท Startup หน้าใหม่ขึ้นมามากหน้าหลายตา ถึงแม้ว่าจะมี บริษัท Startup เป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องล้มหายตายจากไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็มีบริษัท Startup บางแห่งที่ได้รับผลดีจากสถานการณ์วิกฤติของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จนเหมือนเป็นตัวเร่งปฏิกริยา ดันให้บริษัทน้องใหม่ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด และได้กลายเป็นยูนิคอร์นตัวใหม่ของโลกก็มีมาแล้ว เหมือนอย่างบริษัท Flash Express ถือเป็นระดับยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทยนั่นเอง

บริษัท Startup คืออะไร

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึงแต่ บริษัท Startup แล้วคุณล่ะ เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้แล้วหรือยัง และ บริษัท Startup นั้นมีความเหมือนและความแตกต่างจากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่พวกเราคุณเคยกันอย่างไร มาลองตรวจสอบความเข้าใจของคุณไปพร้อม ๆ กันกับเราได้เลย

บริษัท Startup คือ บริษัทขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจใหม่ โดยได้ทำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ช่วยในการแก้ปัญหา ส่วนมากจะมาในรูปแบบของแพลตฟอร์มต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ แต่ก็มีบริษัท Startup จำนวนไม่น้อยที่ดำเนินกิจการทั้งแบบออฟไลน์ควบคู่ไปกับการให้บริการผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งบริษัทนั้นนจะได้รับเงินก้อนในการขยายสเกลบริษัทมาจากนักลงทุน ที่เรียกว่า Venture Capital หรือบางครั้งก็มีชื่อเรียกน่ารัก ๆ ว่า Angel Investor นั่นเอง

บริษัท Startup คืออะไร

ความเหมือนหรือต่างกับบริษัททั่วไป

บริษัท Startup เหมือนกับบริษัททั่วไปตรงที่เป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการโดยมีเป้าหมายสูงสุด ที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดในแบบเดียวกันกับบริษัททั่วไป คือ หวังผลกำไรเป็นที่ตั้งนั่นเอง เพราะฉะนั้นบริษัท Startup ที่ไม่แสวงหาผลกำไรนั้นไม่มี ถ้าเป็นบริษัทที่ไม่ต้องการกำไร แบบนั้นเรียกว่า “มูลนิธิ” หรือ “องค์กรการกุศล”

บริษัท Startup ต่างจากบริษัททั่วไปตรงที่จะต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีระยะเวลาจำกัดในการดำเนินกิจการในช่วงแรก โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการตกลงของผู้ลงทุน เช่น ต้องคืนทุนภายใน 1 ปี หรือ 2 ปี

ทำไมถึงควรเปิดบริษัท Startup

“การลงทุนมีความเสี่ยง ควรใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุน” ประโยคยอดฮิตที่ใคร ๆ ก็ชอบพูด แต่ความจริงแล้วก็คือ “การไม่ยอมเสี่ยงทำอะไรใหม่ ๆ เลยต่างหากที่เป็นความเสี่ยงที่เสี่ยงมากที่สุด” ทั้งนี้เป็นเพราะว่าวิถีชีวิตและสภาพเศรษฐกิจของโลกนั้นผันแปรไปในทุก ๆ วัน ทำให้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่เต็มที่ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้บริษัท Startup นั้นเกิดมาเพื่อตอบโจทย์ของผู้คนนั่นเอง

บริษัท Startup มีข้อดียังไง

ข้อดีนั้นมีมากจริง ๆ แต่จุดเด่นหลัก ๆ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจเปิดบริษัท Startup กันเป็นดอกเห็ด เพราะมันเป็นหนทางแห่งความสำเร็จที่ลงทุนน้อย เจ็บตัวน้อย (เพราะได้เงินคนอื่นมาลงทุน) แถมเวลาที่เสียไปยังสามารถใช้เป็นประสบการณ์ในการทำงานได้อีกด้วย และที่เด็ดที่สุด คือ มีชีวิตที่ออกแบบเองได้ เป็นนายตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีอิสระในการทำงานและใช้ชีวิต ข้อดีเยอะแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใคร ๆ ก็อยากเปิดบริษัทเปิดของตัวเอง

 

ทำไมถึงควรเริ่มเปิดบริษัทตั้งแต่ตอนนี้

“โอกาสก็เหมือนไอติม ถ้าไม่รีบชิม เดี๋ยวมันจะละลายนะเออ” ตอนนี้คือช่วงเวลาทองในเปิดบริษัท Startup เพราะตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ย้ายจากโลกออฟไลน์เข้ามาสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเจ้าเชื้อโควิด 19 เป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดได้เร็วขึ้น ใครจะไปเชื่อว่าแม่ค้าขายลูกชิ้นข้างทางจะสามารถใช้แอปพลิเคชันบนมือถือในการรับเงินจากลูกค้ารายทางได้ แต่แอปพลิเคชันเป๋าตังค์ และถุงเงินก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่า สังคมไร้เงินสดนั้นสามารถเกิดได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้เราสามารถซื้อทอง กองทุน ตลอดจนพันธบัตรรัฐบาลผ่านแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้เช่นกัน

 

อนาคตของบริษัท Startup จะเป็นอย่างไร

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอนได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน้ันจะเป็นรากฐานที่ดีของอนาคต เช่นเดียวกันกับเวลาที่เรารู้ว่าเรือรั่ว เราต้องรีบหาทางออกจากเรือก่อนที่มันจะจมลง ดังนั้นเมื่อเราเห็นลมเปลี่ยนทิศ เราเองก็ต้องรีบปรับตัว เหมือนอย่างธุรกิจนิตยสารและหนังสือพิมพ์ ที่ต้องรีบย้ายตัวเองขึ้นมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อความอยู่รอด

Successful Startup

ทำอย่างไรบริษัท Startup จึงจะประสบความสำเร็จ

จริง ๆ แล้ว มันไม่มีสูตรสำเร็จในการทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเปิดบริษัท Startup ได้แบบเต็มร้อยหรอกนะ ของแบบนี้มันต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์สอดประสานกันอย่างลงตัว อาจจะต้องมีปรับสูตรอย่างละนิดอย่างละหน่อย ให้เหมาะสมในแบบฉบับของตัวคุณเอง แต่อย่างน้อย ๆ คุณควรจะหาเพื่อนร่วมทางดี ๆ ที่จะช่วยดันบริษัทของคุณให้ไปถึงฝั่งฝันได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งเคล็ดไม่ลับของเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัท Startup นั้น มีนักการตลาดคอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง

การตลาดต้องทำผ่านช่องทางออนไลน์

วิธีการทำการตลาดแบบเดิมนั้นไม่ได้ผลแล้ว เพราะผู้คนย้ายคอมมูนิตี้มาอยู่บนโลกออนไลน์กันมากกว่าที่เราคิด ตั้งแต่โควิด 19 ระบาดมาระลอกแล้วระลอกเล่า เราก็เห็นความไม่แน่นอนของการเปิดทำการของห้างสรรพสินค้าและสำนักงานต่าง ๆ ที่เคยเป็นจุดรวมคน ทำให้แรงงานจำนวนมากต้อง Work From Home ทำงานกันที่บ้าน แล้วไปช้อปกันกระจายบนโลกออนไลน์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์นั้นรวดเร็วมาก ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ไว คว้าโอกาสให้ทัน

 

แล้วจะเลือกใครมาช่วยการตลาดออนไลน์ให้ดี

จริง ๆ แล้วมีหลายบริษัทเลยนะที่ให้บริการทำการตลาดออนไลน์ให้บริษัทน้องใหม่ แต่จะลงทุนเรื่องนี้ คุณต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ เราต้องมีความรัดกุมในการจับจ่าย โดยควรจะหาข้อมูลของบริษัททำการตลาดออนไลน์ให้ดีว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ แล้วอย่าลืมตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ต่อค่าใช้จ่ายที่เสียไปประกอบการตัดสินใจก่อนทำสัญญาด้วยล่ะ

ถ้าอยากได้ผู้ช่วยมืออาชีพมาช่วยเรื่องนี้ ต้องบริษัท Convert Digital เท่านั้น ที่นี่ทำงานเป็นระบบ มีทีมงานคอยอัปเดตข้อมูลและสถิติให้อย่างเป็นระบบ ภายในเวลา 6 เดือน ส่ง Leadไปให้บริษัท Startup มากกว่า 7,500 ครั้ง ค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 25-50 บาทต่อ 1 Lead เท่านั้น มีผลงานการันตีคุณภาพจากบริษัทชั้นนำ อย่าง Lead 40% ของทาง Fatorium ที่มาจาก Google Ads ก็ผลงานของ Convert Digital ส่วนใครมาสายโซเชียลก็ไม่ต้องกังวล เพราะทาง Convert Digital ก็ช่วยเพิ่ม Lead ให้คุณได้สบาย ๆ ถ้าใครเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ System Stone มาบ้างแล้วล่ะก็ บอกเลยว่า Convert Digital เองก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ใครสนใจลองแวะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ได้เลย www.convertdigital.co.th/th/portfolio/systemstone/

นาทีนี้ทางออกของคนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใช่การย้ายประเทศ เพราะย้ายไปไหนก็ยังเจอกับเจ้าโควิดตัวร้ายอยู่ดี แต่ถ้าเรามามองดูถึงโอกาสทางธุรกิจ และต้นทุนในการเปิดบริษัท Startup อย่างรอบด้านแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศไทยนั้นมีต้นทุนในการเปิดบริษัท Startup ที่น่าจะต่ำติดอันดับต้น ๆ ของเอเชียแล้ว ดังนั้นอย่าพลาดโอกาสทองในครั้งนี้ เปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส เริ่มลงมือเลยวันนี้ และอย่าลืมหาตัวช่วยดี ๆ อย่างบริษัทการตลาดออนไลน์มาช่วยขับเคลื่อนบริษัทด้วยล่ะ เพราะถึงโปรดักซ์คุณจะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนรู้จัก มันก็ทำเงินไม่ได้นะ จริงไหม? วางใจให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการในส่วนการตลาดออนไลน์ที่ซับซ้อนและให้คุณมีเวลาไปโฟกัสในส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญไปพร้อมกัน ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลอย่างแน่นอน

Read More