โฆษณาบน Facebook การตลาดยอดนิยมของร้านค้าออนไลน์

จริง ๆ แล้วการทำการตลาดนั้นก็มีได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบแจกใบปลิว ลงข่าวกับสื่อหลัก หรือว่าใช้เทเลเซลล์โทรไปขายสินค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นการทำการตลาดแบบดั้งเดิมที่ยังคงใช้ได้ แต่ประสิทธิภาพในการปิดการขายอาจจะน้อยลง เพราะผู้คนนั้นได้ย้ายฐานในการเสพย์สื่อไปอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่เป็นแหล่งสังคมออนไลน์ ซึ่งได้รวบรวมกลุ่มคนที่มีความสนใจใกล้เคียงกันมาพูดคุย แลกเปลี่ยน และแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน โดยแอปพลิเคชันที่มีความสามารถโดดเด่นมากที่สุดในเรื่องนี้ ก็คงหนีไม่พ้น Facebook ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนผู้ใช้งานในแต่ละวันสูงที่สุดในโลก ทำให้การลงโฆษณาบน Facebook กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางการทำการตลาดที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ทำความรู้จักกับโฆษณาบน Facebook

หลายคนคงเคยเห็นหน้าเห็นตาของเจ้าโฆษณาบน Facebook ขณะที่เข้าใช้งานบนแอปพลิเคชันดังกล่าวกันมากันบ้างแล้ว ไม่มีว่าจะเป็นโฆษณาที่ขึ้นมาแทรกบนหน้าฟีดข่าว เวลาที่เราสไลด์หน้าจอ เพื่ออัปเดตข่าวสารและความเคลื่อนไหวจากเพื่อน ๆ ตลอดจนเพจที่เราไปกดติดตามเอาไว้ หรือบางทีโฆษณาอาจโผล่มาแทรกตอนที่เรากำลังดูคลิปวิดีโอต่าง ๆ รวมไปถึงการขึ้นโฆษณาเอาไว้บนแถบบนสุดของกล่องข้อความผ่าน Messenger หรือในบางครั้งโฆษณาก็อาจจะไปโผล่บน Story ได้ด้วยเช่นกัน

โฆษณาบน Facebook แบบ In-Stream

แบบ In-Stream นั้นเป็นคลิปวิดีโอที่จะปรากฎขึ้นก่อน ระหว่าง หรือหลังจากที่คุณกดเล่นวิดีโอตัวหลัก โดยจะกินเวลาประมาณ 15 วินาที ในการจูงใจให้ผู้เห็นโฆษณากดคลิกต่อไปยัง Sales Page ของสินค้าและผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งการลงโฆษณาในรูปแบบนี้มีข้อเสียอยู่เล็กน้อย เพราะสามารถกดข้ามการรับชมด้วยปุ่ม Skip ได้นั่นเอง

โฆษณาบน Facebook

โฆษณาบน Facebook แบบ Bumper

แบบ Bumper นั้นจะเป็นคลิปวิดีโอที่สั้นมาก ๆ โดยสั้นกว่าแบบ In-Stream มากกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เพราะแบบ Bumper จะแสดงผลเพียงแค่ 6 วินาทีเท่านั้น ซึ่งการลงโฆษณาแบบนี้จะแสดงผลได้ดีบนสมาร์ทโฟน เพราะคลิปสั้นแบบนี้จะทำให้คนจดจำข้อความที่คุณพยายามจะสื่อสารออกไปได้ดี แต่ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด การลงโฆษณาแบบ Bumper จำเป็นต้องสั้น กระชับ และสร้าง impact ให้ได้มากที่สุด ส่วนใหญ่การลงโฆษณาแบบนี้ มักจะมาพร้อมปุ่ม call to action อย่างเช่น กดสั่งซื้อสินค้า หรือให้กดลิงก์ต่อมายังกล่องข้อความ

 

โฆษณาบน Facebook แบบ Discovery

แบบ Discovery จะปรากฎเมื่อผู้ใช้งาน Facebook กดค้นหา โดยมีลักษณะคล้ายกับการแสดงโฆษณาในหน้าแรกของ YouTube ซึ่งมีการแนะนำวิดีโอที่เกี่ยวข้องแทรกขึ้นมาด้วย โดยจะมีโอกาสเกิด success rate ที่เพิ่มมากขึ้น หากโฆษณาแบบ Discovery ของคุณทำให้ user สนใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างตรงจุด

โฆษณาบน Facebook

ทำไมจึงควรลงโฆษณาบน Facebook ตั้งแต่ตอนนี้

มีเหตุผลมากมาย ที่ทำให้คุณควรลงโฆษณาบน Facebook ตั้งแต่ตอนนี้ แต่สาเหตุหลัก ๆ คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการทำให้สินค้าและบริการของคุณกลายเป็นที่รู้จักให้มากและรวดเร็วที่สุด เนื่องจากทำเลใหม่ ๆ บนโลกออนไลน์ในถูกจับจองมากขึ้น โดยมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้คนเปลี่ยนแพลตฟอร์มและรูปแบบการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ มาทำการซื้อขายสินค้ากันบนโลกออนไลน์กันในเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์

เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณมากขึ้น

หากคุณเป็นร้านอาหารเปิดใหม่ ที่มีความโดดเด่นเรื่องความสดของวัตถุดิบระดับตัวท๊อป แถมรสชาติยังอร่อยเด็ดจนภัตตาคารหลายแห่งยังต้องชิดซ้าย แต่ถ้าหากว่าคุณไม่มีใครรู้จักร้านอาหารของคุณ หรือยังไม่กล้าตัดสินใจว่าจะสั่งอาหารจากร้านของคุณดีหรือไม่ เนื่องจากร้านของคุณยังไม่มีชื่อเสียงมากพอที่พวกเขาจะเสี่ยงจ่ายเงินไป การที่คุณเข้าไปทำให้พวกเขาคุ้นเคยจะช่วยให้เกิด convention rate ได้สูงกว่าการไม่ลงโฆษณาใด ๆ

 

กระตุ้นยอดขาย ทำกำไรเพิ่มเป็นเท่าตัว

หากคุณมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และต้องการรักษา engagement กับพวกเขาเหล่านั้นไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ให้แฟนคลับของร้านคุณเปลี่ยนใจไปลองใช้บริการของเจ้าอื่น ๆ การยิง ads บน Facebook ก็สามารถทำให้ลูกค้าผูกพันกับแบรนด์ของคุณได้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม แถมยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ ให้เชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณมากเพียงพอที่จะลองใช้บริการ แถมยังใช้เงินในการลง โฆษณาต่ำกว่าการทำการตลาดด้วยวิธีการอื่น ๆ อีกหลายเท่าตัว อีกทั้งยังสามารถวัดผลผ่านการวิเคราะห์สถิติหลังบ้านได้แบบ real-time อีกด้วย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากทำการตลาดออนไลน์ แต่ยังไม่มีเวลาศึกษาความรู้ในเรื่องนี้ หรือหากเคยลองมาแล้ว แต่อยากปรับแต่งโฆษณาให้ดีและโดนใจลูกค้ามากขึ้น เรามีตัวช่วยดี ๆ สำหรับคนที่อยากทำการตลาดออนไลน์ด้วย Facebook จากทีมงานการตลาดมืออาชีพอย่าง Convert Digital ช่วยดูแลคุณ แล้วคุณจะพบว่า convention rate ของคุณจะเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างแน่นอน

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.convertdigital.co.th/th/contact-us/

Read More

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร? ธุรกิจของคุณเหมาะกับวิธีไหน

ยินดีต้อนรับสู่การยุคการตลาด 5.0 ที่เทคนิคในการทำการตลาดนั้นได้เปลี่ยนไปตลอดกาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์ไปแบบกว้าง ๆ ให้คนรู้จักแบรนด์ให้มากที่สุด ได้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นการทำการตลาดแบบรายบุคคล ที่จะส่งสินค้าและบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าไปหาพวกเขาแบบเฉพาะเจาะจงเลยทีเดียว ทำให้มีข้อเสนอพิเศษและการปรับเปลี่ยนโปรโมชันตามเงื่อนไขต่าง ๆ ได้แบบ Real-time เพื่อดึงกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมายให้ตัดสินใจจับจ่ายซื้อผลิตภัณฑ์ให้ได้มากที่สุด แต่ก่อนที่จะก้าวไปถึงจุด ๆ นั้นได้ คุณต้องผ่านแบบทดสอบด่านแรก นั่นก็คือ ทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของคุณให้ได้ก่อน ดังนั้นกระบวนการในการทำให้สินค้าของคุณได้มีโอกาสผ่านสายตาคนที่น่าจะกลายเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตได้นั้น จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในวันนี้ เราจะพาคุณมาเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการทำงานของเครื่องมือการทำการตลาดผ่าน Search Engine ด้วย SEO และ SEM และแสดงให้คุณเห็นว่า SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วกลยุทธ์ไหน ที่เหมาะจะนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณ

ทำความรู้จักกับการทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Search Engine

วิธีการทำการตลาดออนไลน์นั้นมีหลายแบบ ไม่ว่าจะทำเป็นแบบ e-Newsletter หรือการส่งข่าวสารผ่าน e-mail จากนั้นเริ่มพัฒนาขึ้นมาสู่การทำการตลาดผ่านพื้นที่ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ บล็อก รวมไปถึงพลังแห่งการบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย แต่ในวันนี้ เราจะมาพูดถึงการทำการตลาดออนไลน์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอีกระดับ เพราะมีข้อมูลและสถิติที่ใช้อ้างอิง จนสามารถวัดความคุ้มค่าของเงินที่เราใส่ลงไปเพื่อลงทุนทำการตลาดได้อย่าง การทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Search Engine ทั้ง SEO และ SEM

Search Engine

ทำความรู้จักกับ SEO

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization เป็นการทำการตลาดที่ยั่งยืน แต่ต้องใช้เวลานาน 6-12 เดือนถึงจะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยการทำการตลาดแบบ SEO เป็นการตลาดที่ต้องทำงานหนัก เนื่องจากต้องลงบทความที่น่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง ทั้งในเว็บไซต์หลัก และต้องพึ่งพาอาศัยการให้เครดิตจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือ ในการยิงลิงก์อ้างอิงกลับมาที่เว็บไซต์ที่คุณจะทำ SEO เพื่อเพิ่มคะแนนเครดิตจากหน่วยประมวลผลของทาง Search Engine ให้มากพอ จนกระทั่งเว็บไซต์ของคุณจะได้เลื่อนลำดับมาติดผลการค้นหาในหน้าแรก ๆ ได้

 

ทำความรู้จักกับ SEM

SEM หรือ Search Engine Marketing นั้นก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ แต่ถ้าใช้เทคนิค SEM นั้น ต้องแลกมาด้วยเงินก้อนในการลงโฆษณา แต่มีข้อดีคือเว็บไซต์ของคุณจะได้รับการแสดงผลการค้นหาในหน้าแรกสุดทันที แถมยังอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด คืออยู่ด้านบนสุดในหน้าต่างแสดงผลเลยทีเดียว แต่การทำ SEM นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หากคุณมีคู่แข่งคนอื่นที่มาประมูลแย่งคีย์เวิร์ดเดียวกันกับคุณ

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร

SEO กับ SEM นั้นอาจจะดูคล้าย ๆ กัน เพราะต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นการทำการตลาดผ่าน Search Engine ด้วยกันทั้งนั้น แต่จริง ๆ แล้วมันมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างที่ทำให้ยุทธวิธีการทำการตลาดทั้งสองนี้ต่างกัน ลองมาดูกันดีกว่า ว่า SEO และ SEM ต่างกันอย่างไรบ้าง

เวลา ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ SEO และ SEM แตกต่างกัน

การทำ SEO นั้นเป็นการสร้างความเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ โดยเวลาจะลงข้อมูลใหม่ ๆ อัปเดตลงไป ไม่ควรลงเยอะ ๆ ในเวลาเดียวกัน แต่ควรจะค่อย ๆ ลงทีละนิดทีละหน่อย อย่างบทความ SEO ควรจะลงวันละ 1 บทความอย่างต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลา 3-6 เดือน ต่างจาก SEM ที่สามารถลงข้อมูลทุกอย่างให้ครบเตรียมพร้อมรับลูกค้า จากนั้นซื้อโฆษณาแบบ SEM แล้วรอรับออเดอร์ได้เลยทันที

งบประมาณที่ต้องใช้ อีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ SEO และ SEM แตกต่างกัน

การทำ SEO นั้นคล้ายกับการปลูกต้นไม้ ที่มีต้นทุนที่ต่ำมาก ๆ แต่ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอในการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ป้องกันศัตรูพืช จนกว่าที่จะต้นไม้จะโตพอที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และก็จะสามารถทานผลไม้ได้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี แต่ SEM เป็นเหมือนกับการใช้เงินในการแก้ปัญหา ถ้าคุณอยากกินทุเรียน ก็เดินไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้าได้เลย ในซุปเปอร์มาร์เก็ตมีแบบแกะเปลือกไว้พร้อมขายอยู่แล้ว เพียงแค่คุณจ่ายเงินเต็มจำนวน ก็สามารถทานผลไม้ที่คุณโปรดปรานได้ทันที แต่พอกินหมด คุณก็จะไม่มีทุเรียนกินอีก จนกว่าคุณจะนำเงินก้อนไปซื้อมันใหม่อีกรอบ

Time and Money

ระหว่างการทำการตลาดออนไลน์แบบ SEO กับ SEM แบบไหนที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ

หากคุณดำเนินธุรกิจมานานกว่า 1 ปี และมีคนรู้จักสินค้าและผลิตภัณฑ์ของคุณอยู่พอสมควร คุณสามารถเริ่มต้นที่ SEO ได้เลย เพราะคุณมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว และมีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะสร้างเครดิตให้กับแบรนด์ จนสามารถขยายฐานแฟนคลับออกไปได้อย่างสบาย ๆ แต่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม หากว่าเว็บไซต์ของคุณเพิ่งเปิดตัวมาใหม่ ๆ แบบนี้เราแนะนำให้ทำ SEO ควบคู่ไปกับ SEM เพราะ SEO จะเป็นเหมือนรากแก้ว ที่ทำให้ธุรกิจของคุณมีฐานรากที่มั่นคงแข็งแรง ส่วน SEM เหมือนรากแขนงที่แตกสาขาออกไปช่วยดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มาเติมพลังให้ต้นกล้าธุรกิจ ซึ่งทาง Digital Convert ยินดีที่จะเป็นปุ๋ยสูตรพิเศษ ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งทางการตลาดให้บริษัทของคุณโตวันโตคืน

ตัวอย่างการทำการตลาดแบบ SEO ของ Convert Digital จากเคสธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องครัว

หลังจากที่ทาง Convert Digital ลงบทความ SEO จำนวน 3 บทความต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือน ด้วยคีย์เวิร์ด หม้อทอดไร้น้ำมัน รีวิวหม้อทอดไร้น้ำมัน หม้อทอดพลังไอน้ำ และหม้อทอดไร้น้ำมันยี่ห้อไหนดี นี่คือผลลัพธ์ที่ได้

  • เกิด Organic Traffic จากการค้นหาผ่าน Google เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากถึง 97.45% ใน 3 เดือน
  • อัตรา Conversion จาก SEO แต่เพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นถึง 249.58%

ตัวอย่างการทำการตลาดแบบ SEM ของ Convert Digital จากเคสธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องครัว

หลังจากที่ทาง Convert Digital  สร้างโฆษณา 14 แบบ และคุณสมบัติพิเศษในการปรับแต่งโฆษณาอีก 33 extensions แล้วยิงออกไปโฆษณาออกไปผ่าน Google Ads หรือ Googled Adwords ออกไป นี่คือผลลัพธ์ที่ได้

  • การแสดงผลเพิ่มขึ้น 91%
  • จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เพิ่ม 172%
  • เพิ่มยอดขายได้กว่า 237%

สามารถดูผลงานของ Convert Digital เพิ่มเติมได้ที่ www.convertdigital.co.th/th/bangkok-digital-marketing-agency-project/

 

จะเห็นได้ว่าการทำการตลาดออนไลน์นั้นเป็นพลังสำคัญในการทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในเวลาที่สั้นและกระชับกว่าการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง หากคุณต้องการค้นหาว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับการทำการตลาดออนไลน์บน Search Engine ในรูปแบบไหนดี ทาง Convert Digital เองก็พร้อมที่จะช่วยให้คำปรึกษาคุณด้วยความยินดี

Read More

Social media hashtag คืออะไร?

แฮชแท็ก คือ คำหรือวลีคำหลักที่นำหน้าด้วยแฮชแท็ก หรือที่เรียกว่าเครื่องหมายชาร์ป (#) ใช้ภายในโพสต์บนโซเชียลมีเดียเพื่อช่วยให้ผู้ที่อาจสนใจหัวข้อนั้น ๆ ของคุณ ค้นพบโพสต์หรือข้อความของคุณ ช่วยดึงดูดความสนใจไปที่โพสต์ของคุณและกระตุ้นให้เกิดการโต้ตอบระหว่างผู้สื่อสารกับผู้รับสาร

วิธีการเลือกใช้ hashtag บน Social media

Social media hashtag ถูกใช้อย่างแพร่หลายใน Twitter เป็นครั้งแรก แต่ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok, LinkedIn และ Pinterest การเรียนรู้การใช้แฮชแท็กอย่างเชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณมีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้ชมของคุณและเพิ่มการเข้าถึงคอนเทนต์ของคุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แค่ใช้เวลาเพิ่มเติมนิดหน่อยในการเรียนรู้ลักษณะการใช้ hashtag ของแต่ละแพลตฟอร์มและให้ความสนใจกับกระแสความนิยมต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

digital-marketing-agency-bangkok-sme-social-media-tone-of-voice

เมื่อใช้วลีเป็นแฮชแท็ก คุณสะกดโดยไม่ต้องเว้นวรรค เช่น #Socialmediahashtag อาจมีตัวเลขแต่ไม่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายวรรคตอน แฮชแท็กสามารถวางไว้ทั้งในตำแหน่งจุดเริ่มต้น ตรงกลาง หรือจุดสิ้นสุดของโพสต์หรือความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียก็ยังได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แล้วตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของโพสต์เป็นสาธารณะ ด้วยกลยุทธ์นี้ ผู้ที่ไม่ใช่แฟนหรือผู้ติดตามของคุณจะสามารถค้นหาและมองเห็นเนื้อหาของคุณได้

 

เคล็ดลับการใช้ Social media hashtag ที่ได้รับความนิยม:

  • อย่าใช้แฮชแท็กบ่อยเกินไป จำนวนแฮชแท็กที่สามารถใช้ได้ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มที่คุณใช้ แต่ส่วนใหญ่การใช้แฮชแท็กหนึ่งหรือสองครั้งจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าใช้จำนวนเยอะ ๆ
  • ทำให้แฮชแท็กสั้นและน่าจดจำ ดีกว่าพยายามใช้คำจำนวนมากในแท็กเดียว
  • อย่าใช้คำที่แปลกเกินไป หากคุณเลือกใช้ hashtag ที่ไม่มีใครค้นหา แท็กนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการตลาดของคุณ
  • ใช้ Social media hashtag ที่มีรายละเอียดและเฉพาะเจาะจงจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าคำแบบกว้าง ๆ หรือคำที่มีความหมายทั่ว ๆ ไป เพราะคำกว้าง ๆ ไม่น่าจะถูกค้นหา และหากคุณใช้คำเหล่านี้ เนื้อหาของคุณก็อาจจะจมหายไป และไม่ถูกมองเห็น
Digital-marketing-agency-in-bangkok-sme-social-media-sharing

ทำไมเราถึงใช้ Social media hashtag

1. เป็นการเพิ่ม Engagement ของ Followers ของเรา: การทำเราใส่ hashtag ในโพสต์ทำให้โพสต์ของเราเป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนาหรือหัวข้อที่กำลังพูดถึงอยู่ในขณะนั้นและเกิดการมองเห็นมากขึ้นบนโซเชียลมีเดีย นั่นเลยอาจทำให้เรามีโอกาสในการบูสต์แบรนด์ของเราผ่านทางการได้ Likes, Shares, Comments หรือแม้แต่ได้ Followers ใหม่เพิ่มมากขึ้น

2. เป็นการสร้าง Brand Awareness ด้วยการใช้ Branded hashtags: อย่างในกรณีที่เรามีแคมเปญหรือจัดงานต่าง ๆ และมีการสร้าง hashtag ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ขึ้นมา เมื่อผู้ร่วมงานมีการโพสต์รูปบนโซเชียลมีเดีย ก็อาจจะมีการใช้ hashtag ของเรา ถือเป็นการขยายการรับรู้ของแบรนด์สู่สายตาคนอื่นต่อไป

3. เป็นการใส่คำอธิบายผ่าน Hashtag บนโพสต์ Social media: เนื่องจากบางแพลตฟอร์มมีการกำหนดจำนวนคำที่เขียนหรือบางครั้งเราไม่สามารถเขียน Caption ที่ยาวเกินไปได้ ดังนั้น hashtag จึงถูกนำมาใช้ในกรณีที่ช่วยลดการพูดถึงซ้ำ ๆ หรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เรารู้กันอยู่แล้ว

4. เป็นการช่วยให้ Audiences หาเราเจอ: ถ้าเราใช้ hashtag ที่เป็นที่นิยม Followers จะสามารถกดติดตามจาก hashtag นั้นแล้วเจอโพสต์ล่าสุดของเราบน Feed ของพวกเขาได้ ถือเป็นอีกทางหนึ่งในการได้ Follower ใหม่ด้วยเช่นกัน

ประเภทของ Hashtag ที่นิยมใช้

การใช้ hashtag เราทำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีทางด้านการตลาดของแบรนด์ ถึงแม้ว่าเราสามารถสร้าง hashtag คำใหม่ ๆ ได้เอง แต่เราก็ต้องคำนึงถึงความเกี่ยวข้องกับโพสต์ด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่เราสามารถใส่ hashtag ได้มากสุดถึง 30 hastags บน Instagram แต่เราอาจไม่จำเป็นต้องใส่มากขนาดนั้นก็ได้ เพราะบางครั้งอาจถูกมองว่าเป็น spam ถ้าคำที่เราใช้ดูไม่สมเหตุสมผล

ที่นี้เรามาดูประเภทของ hashtag ที่นิยมใช้ในปัจจุบันบ้างกันดีกว่า เผื่อว่าเราสามารถนำไปปรับ/เพิ่มให้กับโพสต์ของเราได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น

  1. Branded Hashtag: เป็นการเพิ่มการจดจำชื่อแบรนด์ของเราต่อลูกค้า
  2. Product/ Service Hashtag: เป็นการบอกลักษณะสินค้าหรือบริการโดยทั่วไป ลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการของเรา สามารถค้นหาจากคำเหล่านี้ได้เลย เช่น #carcare #jewelryshop
  3. Niche Hashtag: เป็นการระบุชนิดสินค้าหรือบริการให้แคบลงมานิดนึง กลุ่มลูกค้าจะชัดเจนมากขึ้นเช่น #luxuryjewelry #finejewelry #sportcars
  4. Community Hashtag: สร้างความรู้สึกของการมีส่วนร่วมในแบรนด์หรือแคมเปญต่าง ๆ ช่วยในการสร้าง Brand Awareness รวมถึง Brand Loyalty
  5. Campaign/ Event Hashtag: อาจจะเป็นชื่อแบรนด์หรือสโลแกนของงาน ถูกใช้ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น #bigmountainmusicfestival2020
  6. Seasonal Hashtag: เราอาจจะมีการออกโปรโมชันตามเทศกาลสำคัญต่าง ๆ หรือสร้างคอนเทนต์ตามธีมเทศกาลเหล่านี้ Hashtag ที่เกี่ยวข้องจึงถูกนำมาใช้เพื่อดึงความสนใจของ Follower เช่น #summerclearancesale #newyearpromotion
  7. Location Hashtag: ในบางครั้งเราต้องการโปรโมทงานอีเวนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ หรือเป็นโพสต์เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว การใช้ Location Hashtag จึงถูกนำมาใช้ด้วยเช่นกัน เช่น #phuketescapes #octoberfestmunich #songkranpattaya

Social media hashtag ถูกใช้มาจนเราคุ้นชินในปัจจุบันในฐานะผู้เล่นโซเซียลมีเดีย แต่เมื่อเราต้องมามองในมุมการทำตลาดออนไลน์หรือในฐานะเจ้าของแบรนด์ ก็อาจจะมีจุดเราก็อาจนึกไม่ถึงเช่นกันว่า hashtag ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ถ้าเรามีการเลือกใช้คำอย่างดี ก็จะส่งผลที่ดีต่อแบรนด์เช่นกัน ดังนั้นเราอาจจะต้องลองหันกลับมาดูการใช้ hashtag ของเราในปัจจุบันว่ามีตรงไหนที่สามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีกไหม ในอนาคตเราเชื่อว่า social media อาจมีฟังก์ชันหรือลูกเล่น ๆ ใหม่ ๆ มาท้าทายเราอีกแน่นอน เป็นหน้าที่ของเราที่วิ่งตามเทรนให้ทันถ้าไม่อยากตกรถ

 

Cr. https://blog.hootsuite.com/how-to-use-hashtags/

digital-marketing-agency-bangkok-sme-บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์
Read More

Backlink คืออะไร วิธีการทำ Backlink ที่ดีทำอย่างไร?

Backlink คือ “ส่วนหนึ่ง” ของการทำการตลาด “SEO” (Off-Page SEO) ในที่นี้ใช้คำว่า “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้น เพราะไม่ใช่ทั้งหมดของการทำ “SEO” แต่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับการทำการตลาดรูปแบบนี้ แต่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมันยังสามารถใช้องค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อทำให้เนื้อหาหรือ Content ของเราติดอันดับบน Google ด้วยวิธีอื่น ๆ ได้

Backlink คืออะไร?

Backlink คือ ลิงก์ที่ส่งมาจากเว็บไซต์ต้นทางเพื่อส่งการเข้าถึงมายังหน้าเว็บไซต์ของเรา หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการ “สร้างความเชื่อมโยง” จากเว็บไซต์หนึ่งมาถึงเว็บไซต์ของเรา เป็นการแปะลิงก์สำหรับการเข้าถึงแบบอัตโนมัติมายังเว็บไซต์ของเรา เสมือนเป็นการโฆษณาแฝงแบบเนียน ๆ เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้นและกระตุ้นผลลัพธ์สำหรับคนที่อยากอ่านบทเฉลยของ Content หรือเนื้อหานั้น ๆ เช่น เรากำลังอ่านเนื้อหาของเว็บไซต์หนึ่งอยู่ และเว็บไซต์นี้ได้แปะลิงก์เนื้อหาเพิ่มเติมหรือเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันให้เราสามารถคลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ เป็นการสร้างความเชื่อมโยงแบบเนียน ๆ เพื่อให้เข้าถึงเว็บไซต์ที่ 2 ยิ่งเว็บไซต์เรามี Backlink มาก ก็จะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์เราติดอันดับดี เพราะ Google มองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงมาจากเว็บไซต์ข้างนอก

Digital Marketing Agency in Bangkok SEO Search Engine Optimization Overall
Digital Marketing Agency in Bangkok SEO Search Engine Optimization Masthead

ประเภทของ Backlink

1. “Natural” Editorial Links – เป็นลิงก์ที่ได้จากการแชร์ การอ้างอิงจากบุคคลอื่นกลับมาที่เว็บไซต์เรา การที่จะได้ลิงก์แบบนี้มาได้นั้น คุณภาพของบทความเราต้องดีถึงขนาดได้รับการยอมรับจากผู้อ่าน ยิ่งเว็บไซต์เรามีคนเข้ามาดูมาก ๆ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือ และอาจจะทำให้เราติดอันดับต้น ๆ บน Google การได้ลิงก์นี้มาเราไม่ต้องเสียเงินสักบาท แต่อาจต้องใช้เวลา และต้องควบคุมคุณภาพของบทความให้โดนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เช่น

  • คู่มือเช็กรถเบื้องต้นด้วยตัวเองฉบับง่าย
  • 20 คาเฟ่สุดชิคในเชียงใหม่ ห้ามพลาด!
  • 50 ซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวนสอบสวน
  • 20 ร้านชาบูสุดเด็ดในกรุงเทพฯ

2. Manual Link Building – เป็นลิงก์ที่เราสร้างขึ้นมาเองแล้วนำไปกระจายตามที่ต่าง ๆ เราสามารถเริ่มจาก Owned Assets ก่อน เช่น บน Social Media, Blogs, Youtube, Google My Business หรือจะไปฝากตามเว็บไซต์ Directory ซึ่งแบบนี้คุณไม่ต้องเสียเงิน แต่ก็จะมีอีกวิธี คือ การจ่ายเงินซื้อลิงก์ โดยการติดต่อเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์เหล่านั้นช่วยเขียนบทความใหม่แล้วทำ Backlink กลับมาโดยคุณอาจจะระบุ ‘คีย์เวิร์ด’ หรือตำแหน่งในบทความให้ทำลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์คุณได้ การทำแบบนี้ มีข้อควรระวังและหลักการในการเลือก Backlink คุณภาพ ซึ่งเราจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป

3. Non-Editorial – เป็นลิงก์ที่ฝากไว้ตามคอมเมนต์ของเว็บไซต์ Facebook หรือเว็บบอร์ดต่าง ๆ วิธีนี้ไม่ค่อยมีผลอะไรมากนัก เผลอ ๆ Google อาจมองว่าเป็น Spam Links เราไม่อยากแนะนำให้ทำวิธีนี้

วิธีการทำ Backlink ที่ดีทำอย่างไร

การทำ Backlink ก็มีทั้งการทำที่ดีมีคุณภาพและการทำแบบขอไปที เป็นเพียงการสร้างความเชื่อมโยงอย่างไม่มีมิติเท่านั้น ทำให้เชื่อมโยงไม่สำเร็จ ไม่เกิดการเข้าถึงเว็บไซต์นั้น ๆ เช่น มีการสร้างเว็บไซต์หนึ่งเพื่อหวังจะแปะลิงก์ Backlink เพื่อให้เกิดการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ที่ 2 แต่เนื้อหาของเว็บไซต์หลักนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย มีเพียงการสร้างคำเชื่อมลอย ๆ เพื่อให้เกิดการ “คลิกต่อ” เท่านั้น แบบนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ เรามาดูหลักควรคำนึงในการเลือก Backlink ที่ดีกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. เลือกส่ง Backlink จากเว็บไซต์ที่มี Domain Authority (DA) สูง

เว็บไซต์ไหนที่มีค่า DA (คะแนนเต็ม 100) ยิ่งสูง Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์นั้นยิ่งมีคุณภาพ ดังนั้นถ้าเราต้องเลือกเว็บไซต์ที่จะแปะลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์เรา ควรเช็กค่า DA ของเว็บไซต์ต้นทางสักหน่อย ซึ่งเราสามารถเช็กได้จาก SEO Tools ต่าง ๆ เช่น MOZ หรือ AHREFS

2. ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของเว็บไซต์ที่เราจะทำ Backlink

ไม่ใช่แค่แปะลิงก์เท่านั้น หากแต่ยังจะต้องเน้นคุณภาพไปพร้อม ๆ กับการสร้างความน่าสนใจให้เกิดการ “ติดตาม” ต่อ เมื่อเกิดความต้องการในการติดตามต่อ ก็ก่อให้เกิดการ “คลิกต่อ” ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นขอให้จำขึ้นใจว่า การทำ Backlink ที่ดีต้องเกิดจาก Content หรือเว็บไซต์ที่ดี ลองคิดดูว่าถ้าเราลิงก์เว็บไซต์ของเราซึ่งเกี่ยวกับการขายสกินแคร์ ไปแปะที่เว็บไซต์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ผลกีฬา จะมีสักกี่คนจะคลิกกลับมาอ่านบทความบนเว็บไซต์เรา  ดังนั้นความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของเว็บไซต์ที่ลิงก์กลับมาหาเราต้องมีความเกี่ยวข้องกันถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

digital-marketing-agency-bangkok-sme-digital-trends-computer

3. ต้องมี Traffic จริง ๆ จากเว็บไซต์ที่ทำ Backlink

เว็บไซต์ที่เราไปแปะลิงก์ต้องมีคนเข้ามาดูเว็บไซต์จริง ๆ คิดง่าย ๆ เลย เหมือนเราขายของอยู่ตลาดนัด แต่เราได้แผงขายที่อยู่ในหลืบลึก ๆ ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เราก็คงไม่มีคนเดินมาซื้อของเราเมื่อเทียบกับร้านที่ตั้งอยู่ด้านหน้า มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ แบบนี้ก็จะมีโอกาสที่มีคนซื้อของเรามากขึ้น หลักการเดียวกันกับ Traffic บนเว็บไซต์ที่จะ Backlink มาหาเรา

จากหลักการเบื้องต้นที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้เน้นปริมาณ Backlink อย่างเดียว แต่คุณภาพของทั้งเว็บไซต์ที่จะทำ Backlink กลับมาหรือแม้กระทั่งเนื้อหาบนเว็บไซต์เราเองก็ต้องดีเช่นกัน

อย่างที่เราบอกไปการทำ Backlink ถือเป็นการทำ Off-Page SEO ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนี่งของการทำ SEO เท่านั้น อย่างไรก็ดีเราก็ควรทำ On-Page SEO ควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน

ดูผลงานรายละเอียดเกี่ยวกับการทำ SEO ได้ที่: www.convertdigital.co.th/th/seo-agency-in-bangkok

Read More

เมื่อ Facebook เก็บ VAT 7% บริษัทหรือบุคคลทั่วไปจะต้อง Set-up อย่างไร?

เริ่มต้นข่าวใหม่ที่ฟังดูแล้วอาจจะสร้างความ “สะเทือน” ให้กับผู้ค้าออนไลน์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว กับข่าวการจัดเก็บภาษีหรือ VAT 7% ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ฟังดูเผิน ๆ แล้วน่าจะดีใจด้วยซ้ำนั่นคือการประกาศกฎเหล็กออกมาใหม่ สำหรับการจัดเก็บภาษีของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษี e-Service แต่ความจริงแล้ว คนที่สะเทือนใจและได้รับผลกระทบน่าจะหมายถึงผู้ค้าออนไลน์ต่าง ๆ ที่ใช้ช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านแพลตฟอร์มนั้น ๆ ไม่น่าจะใช่เจ้าของแพลตฟอร์มที่แท้จริง

กลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ 2021

ทำไมผู้ค้าออนไลน์จึงได้รับผบกระทบจากการจัดเก็บภาษี e-Service

ก็เพราะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์จากต่างประเทศนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไอจี Google หรือน้องใหม่อย่าง Tiktok ล้วนแล้วแต่เปิดให้บริการในไทยทั้งสิ้น ซึ่งหลายคนอาจจะฟังเผิน ๆ แล้วพูดว่า “ก็ดีนะเก็บภาษีกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่างนี้บ้างเพื่อการแข่งขันในไทยให้เท่าเทียมกัน ไม่ใช่จัดเก็บ VAT เฉพาะผู้ให้บริการของไทยเท่านั้น แต่จัดเก็บ VAT สำหรับแพลตฟอร์มต่างชาติก็น่าจะดี” แต่ลองคิดดูให้ดี ๆ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถ “ผลักภาระ” การเสีย VAT นี้มาให้ผู้ใช้โฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้ได้

“หลังจากที่ e-service เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ทุกคนที่ยิงแอดในเฟซบุ๊กจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ทั้งที่จด VAT และไม่จด VAT”

คนที่จด VAT (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล ที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้าน/ปี)

  • ให้แจ้ง Facebook ว่าเราจด VAT โดยการไปอัปเดตข้อมูลที่ Facebook Ads Manager 🡪 All tools 🡪 Billing 🡪 Payment Settings 🡪 Business Information แล้วใส่ VAT ID แล้วกดบันทึก
  • หลังจากอัปเดตข้อมูล VAT ID ของเรา Facebook จะไม่เก็บ VAT 7% จากการยิง Ads ณ ตอนนั้น แต่เราต้องนำVAT 7% ไปยื่นภาษีเองด้วยแบบ ภ.พ. 36 กับกรมสรรพากร (ยื่นไม่เกินวันที่ 7 ของเดือนถัดไป) ซึ่งสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้

เช่น เรายิง Ads ไป 1,000 บาท Facebook จะเก็บเรา 1,000 บาท (ไม่รวม VAT 7%) ส่วน VAT 7% จำนวน 70 บาท เราต้องต้องยื่นกับกรมสรรพากรเอง ซึ่งสามารถขอคืนภาษีได้ภายหลัง

 

คนที่ไม่จด VAT

ในส่วนนี้เราไม่ต้องเข้าไปอัปเดตข้อมูลอะไรใน Facebook เมื่อมีการยิง Ads เกิดขึ้นจะถูก Facebook ตัดเงินอัตโนมัติโดยรวม VAT 7% จากการยิง Ads ณ เวลานั้น ซึ่งจะไม่สามารถขอคืนภาษีได้

เช่น เรายิง Ads ไป 1,000 บาท Facebook เรียกเก็บจากเรา 1,070 บาท (รวม VAT 7%) ในส่วนนี้เราไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ต่อเพราะ Facebook จะนำส่ง VAT ให้กรมสรรพากรแทนเรา

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ถือว่าเป็นการผลักภาระให้กับผู้ค้าออนไลน์เจ้าเล็ก ๆ หรือเจ้าของธุรกิจที่ยังไม่ได้จด VAT ซึ่งเชื่อว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลาย ๆ คนก็ต้อง “จำใจ” จ่ายให้อยู่ดี เพื่อให้เกิดการโฆษณาอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม ดังนั้นการวาง Budgetโฆษณาในตอนนี้ ต้องมีการคำนวณ Budget เผื่อไว้อีก 7% เท่ากับว่าต้นทุนเราเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก แต่ในแง่ของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ นั้นย่อมไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ อยู่แล้ว

 

เมื่อเวทีการแข่งขันถูกยกระดับขึ้น มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ทำโฆษณาด้วยตัวเองและไม่ได้วัดผลจึงเสียเปรียบเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้ที่มีการวางแผนการโฆษณา ทำการทดลองเจาะกลุ่มลูกค้า และมีการวัดผลที่ชัดเจน หากคุณกำลังเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำโฆษณาเอง ใส่เงินเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนั้นทำงานให้คุณดีหรือไม่ดี การมีผู้ช่วยที่รู้ลึก รู้จริง จะช่วยทำให้คุณได้ยอดขายหรือ Leads ที่มากขึ้นกว่าเดิม ในราคาที่ถูกลงกว่าทำเอง

digital-marketing-agency-bangkok-sme-digital-trends-meeting-table
Read More

ทำไมธุรกิจโรงแรมต้องทำ SEO

คำถามที่เจ้าของธุรกิจต้องเร่งหาคำตอบ เพราะการแข่งขันทางการตลาดในปัจจุบันเป็นไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวที่นับวันมีการเปิดตัวโรงแรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นการแข่งขันทางการตลาดแบบเสรีที่บางครั้งอาจไม่เสรีเสียทีเดียวเนื่องจากระดับการแข่งขันในปัจจุบันสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งจากโรงแรม Chain และ Non-brand ที่มีการจัดการเป็นอย่างดี ใครมีความโดดเด่นทางการตลาดที่ดีกว่า มีสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้มากกว่า ก็สามารถเรียกเรทติ้ง ทำคะแนนจากนักท่องเที่ยวได้มากกว่า

อาจจะมีโรงแรมที่ดีกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างแรงดึงดูดลูกค้าให้เลือกใช้บริการกับเราได้

เมื่อมีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการตลาดที่เรียกว่า “ ” เป็นการทำการตลาดที่เปรียบเสมือนประตูช่วยไขความต้องการของนักท่องเที่ยว และชี้นำให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเข้ามาสู่ธุรกิจโรงแรมของเรา

เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าหาสิ่งที่เขาต้องการนั่นเอง เพราะฉะนั้นแม้จะมีบางโรงแรมที่สวยน้อยกว่า มีมาตรฐานน้อยกว่า ความน่าสนใจที่น้อยกว่า แต่เมื่อมีการทำการตลาดด้วยการค้นหาวิธีการ “ดึงดูด” ลูกค้า “ได้ดีกว่า” ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นจะถูก “ดูด” ให้เข้าหาโรงแรมนั้น ๆ เป็นการเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ารู้จักโรงแรมเรามากขึ้น

digital-marketing-agency-bangkok-sme-hotel-digital-marketing

ที่กล่าวมาเราอยากจะบอกว่า การทำ “SEO สำหรับโรงแรม” ก็เปรียบเสมือนการสร้าง “แรงดึงดูด” ให้ลูกค้าโคจรเข้าหาโรงแรมของเรา เพราะคนส่วนใหญ่หรืออาจจะเรียกได้ว่าเกิน 90% ของคนที่ต้องการค้นหาอะไรสักอย่าง ก็มักจะค้นหาผ่าน “คำค้นหา” หรือ “คีย์เวิร์ด” ผ่าน Google เพื่อตอบสนองความต้องการกันทั้งนั้น และเมื่อเรารู้ว่ามีช่องทางที่เราสามารถ “ใส่” แรงดึงดูดให้ลูกค้าเข้าหาเราได้แล้ว เราก็ควรจะทำไม่ใช่หรือ? เพราะการค้นหาที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ในเบื้องต้น สามารถชี้นำให้ลูกค้าเข้ามาศึกษาต่อและตัดสินใจซื้อในขั้นต่อไป

ดังนั้นเบื้องต้นเราควรมีการทำ SEO สำหรับโรงแรมบนเว็บไซต์ของเราโดยการเลือกคีย์เวิร์ดที่คิดว่ามีคนค้นหาประมาณหนึ่ง เราสามารถใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner ในการค้นหา Volume ของแต่ละคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาต่อเดือน เมื่อเลือกคีย์เวิร์ดแล้วเราก็มาสร้างบทความที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้นบนเว็บไซต์ โดยการแทรกคีย์เวิร์ดเหล่านั้นในเนื้อหาบทความรวมไปถึงในหัวข้อหลักและหัวข้อย่อยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ควรใส่เยอะจน Google มองว่าเป็น Spam แล้วที่สำคัญอย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดใน Meta Title และ Meta Description ด้วยเช่นกัน เพราะสองส่วนนี้จะเป็นส่วนที่โชว์บน Google เมื่อตอนที่ลูกค้าต้องการค้นหาคำเหล่านั้น เว็บไซต์เราจะได้มีโอกาสโชว์บน Google ให้ลูกค้าคลิกเข้าประตูโรงแรมของเรา

บริษัทรับทำ SEO

ต่อจากนั้นเมื่อลูกค้าเห็นแพ็กเกจ/สินค้าของเราแล้ว ก็ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น “ขั้นแรก” ที่อาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดคือ การเชิญลูกค้าให้เข้ามาหน้าร้าน ซึ่ง “SEO” คือคำตอบของวิธีการเชื้อเชิญลูกค้าในขั้นแรกได้ เมื่อถึงขั้นตอนนี้ “การตัดสินใจซื้อ” ก็จะง่ายขึ้นนั่นเอง

ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในสายงานกับเครือโรงแรมอย่าง Hyatt, Accor, Marriott, และ Non-brand อีกหลากหลายทั้ง 3-5 ดาว Luxury ทีม Convert Digital จึงพูดภาษาโรงแรมได้เช่นเดียวกับคุณ และรู้เทคนิคในการทำให้คุณได้ Direct Booking มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากทุกช่องทาง

Read More

บริษัททำการตลาดดิจิทัลในกรุงเทพ

การทำการตลาดมีความสำคัญต่อทุกธุรกิจมาอย่างช้านาน หากคิดดี ๆ แล้ว การทำการตลาดด้วยเนื้อหาหรือการสร้าง Content ที่เหมาะสมสามารถโปรโมทสินค้าและแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักได้ง่ายและกว้างขึ้น เป็นการเปิดตลาดให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในความรู้จักของลูกค้าได้ดีขึ้น ในอดีตบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง เบญจามิน แฟรงคลิน ก็ได้ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อโปรโมทธุรกิจของเขาเช่นกัน โดยเขาทำการตลาดเพื่อแนะนำธุรกิจของเขาเริ่มต้นตั้งแต่ในปี ค.ศ.1739

ถัดมาอีก 300 ปี จนถึงปัจจุบันแม้กระทั่งเข้าสู่ยุคออนไลน์เต็มตัวในปี 2021 นี้แล้ว การทำการตลาดในปัจจุบันยิ่งกลายเป็น “สิ่งสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจไปแล้ว เพราะมีการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารกันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการติดต่อพูดคุยทำความรู้จักกัน ทำให้ช่องทางการตลาดบนโลกออนไลน์กลายเป็นอาวุธที่สำคัญของนักธุรกิจ เพราะมากกว่า 70% ของลูกค้าที่ต้องการค้นหาสินค้า/บริการต่าง ๆ ล้วนศึกษาและหาข้อมูลของแบรนด์สินค้าผ่านช่องทางการตลาดบนโลกออนไลน์ เนื่องจากในปัจจุบันมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากจำนวนประชากรโลกทั้งหมดนั้น มีจำนวนมากถึง 59% ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมดที่เข้าถึงการใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต นั่นหมายความว่ามีการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

การทำการตลาดออนไลน์มีความสำคัญอย่างไร?

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นแล้วว่า การทำการตลาดในยุคนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำการตลาดออนไลน์(การตลาดดิจิทัล) ที่สามารถสร้างการ “เข้าถึง” ของลูกค้าให้เกิดความหลากหลายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะจำนวนลูกค้าที่ต้องการค้นหาสินค้าบางอย่างที่ตนต้องการนั้น มีจำนวนมากถึง 90% ที่ศึกษาข้อมูลจากประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากสินค้านั้น ๆ ผ่านการนำเสนอเนื้อหาหรือ Content ที่น่าสนใจ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้เขาตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งการทำการตลาดดิจิทัลสามารถตอบโจทย์ในองค์ประกอบที่สำคัญข้างต้นได้ ทำให้การตลาดออนไลน์มีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ

digital-marketing-agency-bangkok-sme-social-media

การทำการตลาดสามารถช่วยโปรโมทสินค้า/บริการ/ธุรกิจของคุณได้ อีกทั้งยังเป็นการเปิดกว้างทางการตลาดจากรูปแบบออฟไลน์แบบเดิม ๆ ให้ “ดิ้นได้” เป็นการทำการตลาดที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และ “เข้าถึง” ได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญยังสามารถเพิ่มกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดให้เกิดความจำเพาะที่เหมาะสมได้ด้วยตนเอง เรียกได้ว่าเป็นการ “ยกระดับ” การทำการตลาดจากรูปแบบเดิม ๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ลูกค้าเป็นผู้เลือกที่จะเข้าถึงธุรกิจของเราเท่านั้น หากแต่เจ้าของธุรกิจนั้นเองก็สามารถพิจารณา “เลือก” ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง นี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่สามารถพลิกกลยุทธ์ทางการตลาดจากรูปแบบเดิม ๆ ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

ซึ่งเราคือบริษัททำการตลาดดิจิทัลในกรุงเทพที่เปรียบเสมือน “เทรนเนอร์” ที่ช่วยเทรนกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับการทำการตลาดดิจิทัลให้กับทุกธุรกิจ เพราะการทำการตลาดออนไลน์หรือดิจิทัลนั้นต้องมีวิธีการทำที่ต้องมีการศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี การเปรียบเทียบข้อมูลทางการตลาดและการทำการตลาดกับคู่แข่งที่ต้องมีการทำการบ้านค่อนข้างหนักหน่วง เพราะทำการตลาดอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็เท่ากับเป็นการลงทุนโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ดังนั้นหากต้องการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพก็จำเป็นต้องเลือกใช้ผู้ให้บริการที่มีความเป็นมืออาชีพที่สามารถสร้างมาตรฐานการตลาดให้กับธุรกิจได้อย่างมีคุณภาพด้วย

digital-marketing-agency-bangkok-sme-audience

กลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตแฝงตัวอยู่ในทุกช่วงอายุ ควรรีบตักตวงช่องทางการตลาดดิจิทัลไว้ให้ได้มากที่สุด

จากการศึกษาพบว่าช่วงอายุของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต มีการใช้อินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันทั้งการหาข้อมูลต่าง ๆ การเลือกรับชมรายการบันเทิงต่าง ๆ แทบทุกช่วงอายุ โดยอยู่ในกลุ่มวัยทำงานมากถึง 50% แต่ก็มีจำนวนสูงถึง 32% ที่อยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 25 ถึง 34 ปี จึงเห็นแล้วว่าการทำการตลาดสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกเพศและทุกช่วงอายุ ดังนั้นการทำการตลาดดิจิทัลจึงสามารถยกระดับกลยุทธ์การตลาดให้กับทุกธุรกิจได้ง่ายขึ้น

หากคุณกำลังมองหาบริษัททำการตลาดดิจิทัลในกรุงเทพแล้วล่ะก็ Convert Digital ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถแนะนำคุณได้เป็นอย่างดี เพราะเรามีการหาข้อมูล ศึกษาองค์ประกอบในทุก ๆ ด้านของการทำการตลาดดิจิทัล เพราะอย่างที่บอกว่าการทำการตลาดออนไลน์ที่ดีนอกจากต้องดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้แล้ว ยังต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ตลอดเวลานั่นเอง

ที่เดียวจบ ครบวงจร เสมือนจ้างฝ่ายการตลาดมากประสบการณ์ในราคาพนักงานประจำเพียงท่านเดียว: https://www.convertdigital.co.th/th/all-in-one-digital-marketing-services

Read More

ลงโฆษณาบน Google ดีไหม? ได้ผลแค่ไหน ทำไมใคร ๆ ก็นิยม

ลงโฆษณาบน Google ดีไหม? ได้ผลแค่ไหน ทำไมใคร ๆ ก็นิยม

ถ้าหากคุณถามเราว่าในปัจจุบันนั้นเว็บไซต์ไหนหรือแพลตฟอร์มใดที่คนมักจะใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ มากที่สุด เราสามารถตอบได้เลยว่า “Google” โดยไม่ต้องมองไปไหนไกล ไม่ว่าใคร เพศไหน หรืออายุเท่าใด เมื่อไม่รู้ข้อมูลในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ต่างก็จะค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง “Google” เพราะแบบนั้นจึงทำให้ Google มีจำนวนผู้ใช้มากมายและมีการค้นหามากกว่าร้อยล้านครั้งต่อวินาทีทั่วโลก และเมื่อมีผู้ใช้เยอะ สิ่งที่ตามมาก็คือการทำแบนเนอร์ หรือการทำโฆษณาบน Google และถ้าหากคุณอยากรู้ว่าทำไม และเพราะอะไร เราอยากให้คุณอ่านบทความนี้ให้จบ

Digital-marketing-agency-in-bangkok-sme-Google-Ads_1

ในปัจจุบันนั้นแพลตฟอร์มอย่าง Google ได้ทำรายได้มหาศาลจากการรับลงโฆษณาบน Google เพราะว่าเว็บไซต์ภายในกูเกิลนั้นมีมากมายนับพันล้านเว็บไซต์ และมีข้อมูลมากมายที่ถูกจัดเก็บอยู่ และก็เช่นเดียวกัน เพราะมีผู้คนมากมาย การเข้าชมเว็บไซต์หรือการใช้เว็บไซต์ Google ก็มีมากขึ้น ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้เลยว่า แบนเนอร์โฆษณาบน Google ของคุณจะถูกพบเห็นมากกว่าการลงโฆษณาในที่ไหน ๆ หนำซ้ำยังถูกโฆษณาในเว็บไซต์ที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันกับที่ข้อมูลโฆษณาของคุณทำการลงเอาไว้อีกด้วย

ทำไมควรลงทุนโฆษณาบน GOOGLE?

โลกการตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และ Google ก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มทางการตลาดที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ อันที่จริงการทำ Google Ads เป็นหนึ่งในวิธีการโฆษณาออนไลน์แบบชำระเงินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเนื่องจากทุกวันนี้ลูกค้าของคุณก็ใช้ Google Search เป็นหลักในเกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การหาข้อมูลไปจนถึงการซื้อสินค้า

การโฆษณาบน Google Ads เป็นหนึ่งในช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างความสนใจในตัวสินค้า หากแคมเปญของคุณได้รับการตั้งค่าอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสที่จะส่งลูกค้าที่มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการสูงไปยังเว็บไซต์ของคุณ โดยการใช้ Google Ads ช่วยให้โฆษณาของคุณขึ้นติดอันดับ 1-4 บนหน้าแรกของ Google เมื่อลูกค้าค้นหา keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ ซึ่งคุณสามารถเลือกความกว้างและแคบได้ดั่งใจ ไม่ว่าคุณจะต้องการคนเข้าชมเว็บไซต์จำนวนมากขึ้น หรือต้องการเพียงหยิบมือเดียวที่ต้องการซื้อสินค้าของคุณ รวมถึงการเลือกโฆษณาเฉพาะพื้นที่ เมือง ประเทศ เวลา ฯลฯ ก็สามารถทำได้อย่างอิสระ

การทำโฆษณาบน Google Ads คุณจะจ่ายเฉพาะผลลัพธ์ที่วัดได้จริงตามจำนวนครั้งที่ลูกค้าคลิกเท่านั้น โครงสร้างนี้เรียกว่าแคมเปญแบบจ่ายต่อคลิก (PPC – Pay Per Click) ซึ่งคุณสามารถกำหนดขีดจำกัดค่าโฆษณาของแคมเปญ Google Ads รายเดือนที่ Google จะรันตามงบประมาณโดยอัตโนมัติ ตามเป้าหมายที่คุณได้วางไว้ ไม่ว่าจะเป็น Website traffic ที่เน้นจำนวนคลิก, impression share ที่เน้นการแสดงโฆษณาให้บ่อยที่สุดในตำแหน่งที่ดี, หรือ Conversion ที่เน้นการขายเป็นหลัก

โฆษณาบน Google Ads ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงใครก็ตามที่ใช้ Google เพื่อค้นหาข้อมูล ผลิตภัณฑ์ และบริการออนไลน์ เมื่อใช้อย่างถูกต้อง Google Ads มีศักยภาพในการสร้างรายได้และเพิ่มลูกค้าให้ธุรกิจได้อย่างคุ้มค่ากับเงินที่ลงโฆษณาไป ธุรกิจส่วนมากจ่ายเพียงคลิกละ 3-7 บาทเท่านั้น แต่สามารถปิดการขายล็อตใหญ่ได้ ซึ่งกำไรในส่วนนี้ก็สามารถเลี้ยงโฆษณาไปได้อีกหลายเดือนด้วยตัวเองเลย และไม่ใช่เพียงแค่ search result อย่างเดียว คุณยังสามารถเลือกทำได้ทั้ง Google Shopping Ads, Google Discovery Ads รวมถึงการโฆษณาในลักษณะ banner อย่าง Google Display Network (GDN) ได้อีกด้วย

หากคุณไม่มีบัญชี Google Ads สำหรับธุรกิจของคุณหรือไม่ได้ใช้บัญชี Google Ads อย่างเต็มศักยภาพ คุณควรพิจารณาใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มนี้อย่างเต็มที่หรือปรึกษาเราเพื่อให้เราเริ่มสร้างแคมเปญที่ทรงประสิทธิภาพให้ธุรกิจคุณ

Read More

รับดูแลเพจเฟซบุ๊ก การลงทุนให้เพจของคุณไม่เหงาอีกต่อไป

Best Digital Marketing Agency in Bangkok Creative services

รับดูแลเพจเฟสบุ๊ค การลงทุนให้เพจของคุณไม่เหงาอีกต่อไป

ถ้าหากพูดถึงการซื้อขายสินค้าต่าง ๆ ในยุคนี้นั้น คนส่วนใหญ่ที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน คนทำงานที่ Work from Home รวมทั้งคนที่กำลังว่างงานที่ถูกสภาพแวดล้อมของสังคมหล่อหลอมให้ต้องใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ไม่ว่าจะใช้เพื่อส่งข้อความ การโทรศัพท์ หรือแม้แต่การชอปปิ้ง โดยส่วนมากผู้คนก็จะซื้อขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยหนึ่งในแพลตฟอร์มหลักที่นิยมใช้ในการซื้อขายก็คือ Facebook เพราะ Facebook นับว่าเป็นแพลตฟอร์มใหญ่ที่มีคนใช้งานเยอะมากที่สุดในบ้านเรา เป็นจำนวนหลายล้านคน ดังนั้นการซื้อขายผ่าน Facebook จึงมีกระแสเงินหมุนไหลเวียนตลอดเวลา และด้วยเหตุที่ว่าเจ้าของแบรนด์บางคนอาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลช่องทางการขายอย่างเพจ Facebook จึงได้เกิดบริการรับดูแลเพจเฟซบุ๊กขึ้นมา เพื่อใช้ในการทำตลาดออนไลน์นั่นเอง

บริการรับดูแลเพจเฟซบุ๊กนั้น ได้มีคนทำมาแล้วเมื่อประมาณช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยคนที่รับดูแลนั้นจะคอยดูแลเรื่องการทำตลาดออนไลน์ให้กับสินค้าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการยิงโฆษณาบน Facebook การทำคอนเทนต์ การเขียนข้อความสำหรับโพส การทำวิดีโอ การทำอินโฟกราฟิก รวมไปถึงการตอบแชท รับออเดอร์สินค้า ผู้รับดูแลก็จะบริการให้อย่างครบวงจร

ที่ Convert Digital เราได้รับดูแลเพจ Facebook มามากมายให้กับเจ้าของแบรนด์ทั้งเจ้าเล็กและเจ้าใหญ่ เรารับดูแลการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา การทำคอนเทนต์ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ หรือการทำแผนการตลาดออนไลน์เพื่อเรียกยอดผู้เข้าชมไปจนถึงเพิ่มยอดขายสินค้าด้วย ถ้าคุณเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่กำลังมองหาผู้ที่จะช่วยรับดูแลเพจเฟซบุ๊กของคุณแล้วล่ะก็ Convert Digital จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณตอนนี้แน่นอน

Read More

ทำการตลาดออนไลน์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่รู้หลักต่อไปนี้

digital-marketing-agency-bangkok-sme-social-media-tone-of-voice-2

ทำการตลาดออนไลน์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่รู้หลักต่อไปนี้

ในยุคที่โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ ส่งผลให้ผู้คนออกจากบ้านกันน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคืองจนทำให้เศรษฐกิจหรือกระแสเงินสดหมุนเวียนต้องชะงักลงภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปี ธุรกิจการค้าและบริษัทมากมายประสบปัญหาขาดทุน บางรายถึงกับต้องปิดกิจการลง ทำให้เกิดอัตราการว่างงานมากขึ้น คนที่ตกงานบางส่วนจึงหันมาทำธุรกิจของตัวเอง และการทำการตลาดในยุคที่ผู้คนออกจากบ้านไม่ได้ แน่นอนว่าต้องใช้วิธีการทำการตลาดแบบออนไลน์ แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เรามีหลักการสำคัญ ๆ มาที่จะแชร์ให้คุณได้นำไปใช้

สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ คุณควรที่จะกำหนดกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าให้ชัดเจน เช่น ถ้าคุณต้องการที่จะขายครีมสำหรับคนหนุ่มสาว คุณอาจจะกำหนดอายุของกลุ่มเป้าหมายไว้ที่ 18-30 ปี เน้นไปที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เป็นต้น ต่อมาก็เป็นการโปรโมท ไม่ว่าจะเป็นการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การเขียนบทความลงบล็อก หรือการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็มีส่วนช่วยในการเข้าถึงที่มากขึ้นของลูกค้าได้ จากนั้นให้คุณเลือกใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียหลักที่คนนิยมใช้งานกัน เช่น Facebook IG Twitter เป็นต้น และจากนั้นก็รอวัดผลจากการทำการตลาดออนไลน์ได้เลย

แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำการตลาดออนไลน์ไม่เป็น ทำยังไงยอดการเข้าถึงก็ไม่ดีขึ้น เราอยากจะให้คุณลองพิจารณาเกี่ยวกับการจ้างบริษัทที่รับทำการตลาดออนไลน์โดยตรง อย่างเช่น Convert Digital บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ครบวงจร ที่คุณสามารถไว้ใจได้ เพราะเรามีประสบการณ์รับดูแลและทำการตลาดมาอย่างเข้มข้น ซึ่งคุณมั่นใจได้เลยว่าสินค้าของคุณจะไม่ถูกลูกค้ามองข้ามอีกต่อไป

Read More