Microsoft Advertising คืออะไร ? ทำไมถึงเป็นช่องทางใหม่สำหรับเจ้าของธุรกิจ

ในยุคที่การทำการตลาดออนไลน์มักกระจุกตัวอยู่บนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, Instagram, Google และ TikTok การมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ในการทำโฆษณาไปสู่กลุ่มเป้าหมายจึงได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทดลองตลาด เพื่อสร้างการเติบโตและการประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดย Microsoft Advertising คือ หนึ่งในแพลตฟอร์มโฆษณาในยุคดิจิทัล ที่ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากต่อการช่วยเชื่อมโยงธุรกิจเข้ากับกลุ่มเป้าหมายบนเครือข่าย Bing, MSN, และ LinkedIn ได้อย่างมีครอบคลุม เพราะฉะนั้นแล้ว Microsoft Advertising จึงไม่เพียงเป็นทางเลือกใหม่ในการทำการตลาดออนไลน์ที่ตอบโจทย์การช่วยขยายตลาดในโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับธุรกิจได้อย่างโดดเด่นด้วยเช่นกัน

ไขข้อสงสัย Microsoft Advertising คืออะไร ?

Microsoft Advertising คือ แพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถวางโฆษณาบน Bing Search Engine Results Pages (SERPs) และเว็บไซต์พันธมิตรอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านเครือข่ายอันทรงพลังของ Microsoft ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ Microsoft Advertising ยังไม่เพียงมีเครื่องมือและฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ล้ำสมัย ที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจสามารถทำการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานและเลือกรูปแบบการแสดงโฆษณาได้อย่างเหมาะสม แต่ยังมีหลากหลาย Partner ที่แตกต่างไปจากเจ้าตลาดปัจจุบันอย่าง Google ซึ่งจะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างไปจากกลุ่มเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ Microsoft Advertising คือ การทำโฆษณาในรูปแบบ Connected TV (CTV) Ads ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใช้งานแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งและอุปกรณ์สมาร์ททีวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม Netflix ที่มีผู้ใช้งานมากกว่าล้านรายทั่วโลก ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่ผู้ให้บริการโฆษณารายอื่น ๆ ยังไม่สามารถให้บริการในระดับที่เทียบเท่ากับ Microsoft Advertising ได้ในปัจจุบันนี้ โดยถึงแม้ว่าฟีเจอร์นี้จะยังไม่เปิดให้บริการในประเทศไทย แต่ธุรกิจก็สามารถเริ่มต้นวางกลยุทธ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำโฆษณาลงบนช่องทางใหม่นี้ได้ในเร็ว ๆ นี้

รูปแบบการทำ Microsoft Advertising คืออะไรบ้าง ?

Microsoft Advertising คือ แพลตฟอร์มที่มีรูปแบบการทำโฆษณาที่หลากหลาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 หมวดหมู่หลัก ๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • Search Ads หรือ โฆษณาในหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา เป็นรูปแบบของโฆษณาที่มักจะแสดงผลอยู่ในหน้าผลลัพธ์การค้นหา (Search Engine Results Pages: SERPs) บน Bing, Yahoo และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ในเครือข่าย Microsoft โดยที่ผู้ใช้งานจะสามารถสังเกตเห็นโฆษณาเหล่านี้ได้เมื่อมีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
  • Display, Native and Video Ads คือ การทำโฆษณาในรูปแบบแบนเนอร์หรือวิดีโอเพื่อประโยชน์ในการช่วยแฝงเนื้อหาของโฆษณาที่ต้องการจะนำเสนอให้เข้าไปอยู่ในคอนเทนต์รูปแบบต่าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะนำไปแสดงผลบนเครือข่ายและพันธมิตรของ Microsoft ซึ่งรวมถึง Ecosia, MSN, Bloomberg และผู้โฆษณาอื่น ๆ อีกกว่า 193,000 ราย
  • Connected TV (CTV) Ads เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการทำโฆษณาที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโฆษณาในลักษณะดังกล่าวนี้จะสามารถแสดงผลบนอุปกรณ์อย่าง สมาร์ททีวีหรือโทรศัพท์มือถือ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ชมเนื้อหาบนระบบสตรีมมิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของ Microsoft Advertising คืออะไร ? ทำไมถึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ธุรกิจควรเลือกใช้

Microsoft Advertising หรือที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยรู้จักกันในชื่อของ Bing Ads นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโฆษณาที่กำลังเติบโตแข่งขันกับ Google Ads มาอย่างต่อเนื่อง โดยถึงแม้ว่า Microsoft Advertising จะยังคงไม่ได้รับความสนใจในโลกของการทำการตลาดออนไลน์ที่มาเท่ากับ Google Ads แต่ข้อดีที่สำคัญที่สุดของการเลือกทำโฆษณาบน Microsoft Advertising คือ ความสามารถในการช่วยสร้างโอกาสและผลกำไรที่มากกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Google Ads

Microsoft Advertising มาพร้อมด้วยฟีเจอร์ Experiments

ฟีเจอร์ Experiments บน Microsoft Advertising คือ ตัวช่วยสำคัญที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถทำ A/B Testing ภายในแคมเปญได้โดยตรง อีกทั้งยังสามารถทดลองปรับแต่งข้อความโฆษณา (Ad Copy) หรือ URL ของหน้า Landing Page เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงการทำโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Microsoft Advertising มีฟีเจอร์ Ad Customizers เพื่อสร้างโฆษณาแบบไดนามิก

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Microsoft Advertising คือฟีเจอร์ Ad Customizers ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างโฆษณาหลากหลายรูปแบบได้จากชุดข้อความเพียงแค่ชุดเดียว อีกทั้งยังรองรับการปรับแต่งโฆษณาตามคำค้นหา สถานที่ เวลา หรืออุปกรณ์ เพื่อช่วยให้โฆษณามีความตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Microsoft Advertising มี Prominence Metrics ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโฆษณา

ความโดดเด่นที่น่าสนใจของ Microsoft Advertising คือการมี Prominence Metrics ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยวิเคราะห์ตำแหน่งในการแสดงผลของโฆษณา รวมถึง Top Impression Share (สัดส่วนการแสดงผลในตำแหน่งบน) และ Absolute Top Impression Share (สัดส่วนการแสดงผลในตำแหน่งบนสุดของหน้าผลลัพธ์การค้นหา) เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การประมูลราคาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำแคมเปญโฆษณาได้มากยิ่งขึ้น

Microsoft Advertising มีการเชื่อมโยงกับ LinkedIn เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ

การผสานข้อมูลระหว่าง LinkedIn และ Microsoft Advertising คือ ตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้ผู้ทำการตลาดทุกคนสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามตำแหน่งงานและบริษัทได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะเหมาะสำหรับกลยุทธ์การทำการตลาดแบบ Account-Based Marketing (ABM) ที่ต้องการมุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของธุรกิจโดยเฉพาะ

Microsoft Advertising มี Video Extensions เพื่อช่วยดึงดูดความสนใจ

Microsoft Advertising คืออีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่มีการสนับสนุนการใช้ Video Extensions ในโฆษณามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกใช้วิดีโอที่มีคำบรรยายหรือเสียงยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความต้องการพิเศษได้มากยิ่งขึ้น

สรุป Microsoft Advertising ตัวช่วยใหม่ของเจ้าของธุรกิจ

เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยฟีเจอร์การทำโฆษณาที่ครบครัน ความสามารถในการกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำ รวมถึงต้นทุนต่อคลิก (CPC) ที่สามารถแข่งขันได้ และฐานผู้ใช้งานที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ Microsoft Advertising คือ อีกหนึ่งช่องทางในการทำโฆษณาที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับธุรกิจในยุคใหม่ ที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายในการขยายตลาดบนช่องทางเดิม ๆ ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น จนส่งผลทำให้ต้นทุนในการทำโฆษณาเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ การมีฟีเจอร์เฉพาะอย่าง Connected TV (CTV) Ads ยังช่วยทำให้ Microsoft Advertising ได้กลายมาเป็นตัวเลือกใหม่ที่จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสในการทำตลาดออนไลน์ เพื่อการช่วยสร้างการเติบโตและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในรูปแบบที่ธุรกิจอาจยังไม่เคยได้สัมผัสจากแพลตฟอร์มคู่แข่ง

References


Read More

Update วิธีทำ SEO ในปี 2025 ทำอย่างไร ? มีอะไรเปลี่ยนจากเดิมบ้าง ?

ในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึง การทำ Search Engine Optimization (SEO) ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ ร่วมกับการช่วยผลักดันการติดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google ที่จะนำไปสู่การช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าชมและการเติบโตสร้างยอดขายบนตลาดดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ทว่าด้วยพฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุคปัจจุบันที่ได้มีการปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น ก็ได้ทำให้ระบบ Algorithm ของเครื่องมือค้นหาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างต่อเนื่อง จนเป็นผลทำให้วิธีทำ SEO ในปี 2025 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ผลลัพธ์ของการทำ SEO เป็นไปอย่างสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ Google Algorithm มากที่สุด

หลายคนยังไม่รู้ว่าความแตกต่าง SEO และ SEM ต่างกันยังไง คลิกอ่านบทความ

เจาะลึกวิธีทำ SEO กับการเปลี่ยนแปลงที่ควรรู้

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning – ML) นำมาซึ่งความท้าทายในการทำ SEO ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว วิธีทำ SEO ในปี 2025 ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้ใช้งานยังคงมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่การช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกต่อไป แต่ยังจะต้องมุ่งเน้นไปถึงการสร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพที่จะสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพื่อการช่วยดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายกลายมาเป็นลูกค้าหรือผู้ติดตามที่มีความภักดีต่อธุรกิจได้อย่างแท้จริง

การนำเสนอเนื้อหา ค้นหาแบบไม่ต้องคลิก (Zero-Click Searches)

Search Generative Experience (SGE) เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์จาก Google ที่กำลังเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในปี 2025 นี้ เนื่องจากระบบดังกล่าวได้มีการนำเอาเครื่องมือ AI มาใช้ประโยชน์ในการช่วยตอบคำถามให้กับผู้ใช้งานที่กำลังเสิร์ชหาข้อมูลต่าง ๆ จาก Google โดยตรง จนทำให้การแสดงผลแบบออร์แกนิกบนหน้าผลการค้นหาของ Google ถูกผลักลงไปด้านล่างและปรากฏให้ผู้ใช้งานเห็นน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม การประมวลผลของระบบ SGE นั้นก็ยังมีการให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาและความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเนื้อหาของ Google ยกตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหา “อุณหภูมิกรุงเทพ” จะเห็นข้อมูลอุณหภูมิปัจจุบันทันทีเป็นตัวเลข หรือค้นหาคำว่า “แปลภาษา hello” จะได้คำแปลทันที เป็นต้น
เพราะฉะนั้นแล้ว วิธีทำ SEO ในรูปแบบของเนื้อหาที่มีความชัดเจน กระชับ และเข้าใจได้ง่าย จึงยังคงเป็นแนวทางที่สำคัญในการช่วยทำให้เครื่องมือ AI สามารถดึงเนื้อหาจากเว็บไซต์เพื่อนำไปใช้นำเสนอผ่าน SGE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การให้ความสำคัญกับแนวคิด N-E-E-A-T

เมื่อพูดถึงการทำ SEO เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะต้องรู้จักและคุ้นเคยกับหลักเกณฑ์ E-A-T หรือ E-E-A-T ที่ Google Algorithm นำมาใช้ในประเมินคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์กันเป็นอย่างดี แต่ทว่าในปี 2025 นี้ Google ได้มีการนำเสนอคำศัพท์ใหม่อย่าง N-E-E-A-T หรือที่ย่อมาจาก Notability (ความมีชื่อเสียง), Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความเชื่อถือได้), และ Trustworthy (ความน่าเชื่อถือ) ขึ้นมาเพื่อช่วยเน้นย้ำให้เห็นถึงความต้องการในการแสวงหาเนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เพราะฉะนั้นแล้ว หากวิธีทำ SEO ของคุณสามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญของผู้เขียนได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะได้รับความไว้วางใจและอันดับที่สูงขึ้นจาก Google มากยิ่งขึ้นเท่านั้น

โดยสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ดังนี้

  1. เขียนให้เป็นธรรมชาติ (N – Natural)
    เขียนเนื้อหาให้อ่านง่าย เป็นธรรมชาติ
    ใช้ภาษาที่ผู้อ่านคุ้นเคย ไม่เป็นทางการจนเกินไป
    หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ที่ซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
  2. เขียนให้คนอ่านรู้ว่าเรามีความเชี่ยวชาญ (E – Expertise)
    แสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่นำเสนอ
    อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
    ยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงหรือกรณีศึกษา
  3. เขียนสร้างความน่าสนใจ (E – Engaging)
    สร้างเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน
    ใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง เช่น การยกตัวอย่าง การเปรียบเทียบ
    แทรกภาพประกอบ กราฟ หรือวิดีโอที่เกี่ยวข้อง
  4. เขียนอย่างไรให้น่าเชื่อถือ (A – Authoritative)
    นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้
    อ้างอิงผู้เชี่ยวชาญหรือผลการวิจัย
    แสดงสถิติหรือข้อมูลที่สนับสนุนเนื้อหา
  5. เนื้อหาเมื่ออ่านแล้วต้องรู้สึกว่าไว้วางใจได้ (T – Trustworthy)
    มีความโปร่งใสในการนำเสนอข้อมูล
    เปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูล
    ยอมรับข้อจำกัดหรือข้อควรระวังในเนื้อหาที่นำเสนอ

การนำเครื่องมือ AI มาใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เครื่องมือ AI หรือ Artificial Intelligence ได้ก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อการช่วยปรับปรุงวิธีทำ SEO และการแสดงผลการค้นหาของ Google ในหลาย ๆ แง่มุม แต่ถึงอย่างนั้นเนื้อหาต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT, Bard หรือ Gemini ก็ยังคงไม่สามารถก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดในการแสดงผลลัพธ์แบบสูตรสำเร็จที่ให้ความรู้สึกที่แข็งทื่อและไม่มีชีวิตชีวาราวกับหุ่นยนต์ไปได้ จนทำให้เนื้อหาที่ได้รับการสร้างขึ้นมาจากเครื่องมือ AI นั้นมักจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของ Google Algorithm เท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นแล้ว การนำเครื่องมือ AI มาใช้ประโยชน์ในการทำ SEO จึงจำเป็นที่จะต้องเป็นอย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่น การนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการช่วยวางโครงเรื่อง หรือเสริมเติมแต่งเนื้อหาในบางส่วนเท่านั้น เพื่อช่วยทำให้ผลลัพธ์ในการทำ SEO เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สรุปวิธีการทำ SEO ในปี 2025

จะเห็นได้ว่า การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และวิธีทำ SEO ให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้การทำ SEO ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพเพื่อประโยชน์ในการช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา แต่ยังเป็นการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมาย และปรับตัวได้อย่างเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค จนสามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันได้อย่างแท้จริง

Read More

GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร ? พร้อมวิธีการทำ SEO เพื่อ AI เบื้องต้น

การก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการสื่อสาร การทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้กระทั่งการค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นแล้ว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้การทำ GEO (Generative Engine Optimization) หรือ กลยุทธ์การสร้างเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับเครื่องมือการค้นหาที่มีการขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบ AI จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาบนเว็บไซต์ของคุณมีความสอดรับกับระบบ AI อัจฉริยะ ที่สามารถสร้างและนำเสนอข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาได้แบบเรียลไทม์

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร ?

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์ใหม่ในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ที่ถูกพูดถึงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 โดยการทำ GEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาดิจิทัลที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง YouTube, Facebook Page และอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกับเครื่องมือค้นหาที่มีการทำงานร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า AI Generative Engines เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสและความเป็นไปได้ที่ชื่อของธุรกิจหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณจะมาปรากฏอยู่ในคำตอบของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Bing Chat หรือ Google SGE

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) มีความสำคัญอย่างไร ?

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า การก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อรูปแบบและวิธีการค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันนี้ โดยจะเห็นได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นได้หันมาใช้งานระบบ AI Search เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการกันมากยิ่งขึ้น จนเป็นผลทำให้ปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกของหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นแล้ว การทำ GEO (Generative Engine Optimization) จึงได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถมองเห็นเนื้อหาหรือความเป็นตัวตนที่ธุรกิจต้องการจะนำเสนอออกมาในการค้นหาข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไขข้อสงสัย การทำ GEO (Generative Engine Optimization) แตกต่างจากการทำ SEO อย่างไร ?

แม้ว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) จะมีวัตถุประสงค์หลักที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในแง่มุมของการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการค้นพบเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย แต่ทว่าการทำ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับระบบ Algorithm ของ Search Engines เพื่อเป้าหมายในการปรับปรุงอันดับของหน้าเว็บไซต์ที่แสดงผลในการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERP) ให้ดียิ่งขึ้นเป็นสำคัญ ในขณะที่การทำ GEO (Generative Engine Optimization) นั้นจะให้ความสำคัญกับการปรับแต่งเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบการตอบคำถามของ AI และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ถามได้อย่างแท้จริง

เจาะลึกเทคนิคการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เพื่อ AI แบบเบื้องต้น

การทำ SEO มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์สามารถเข้าถึงระบบการค้นหาของ AI และสามารถแสดงผลเพื่อช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหาได้อย่างแท้จริง ซึ่งกลยุทธ์สำหรับการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เพื่อ AI นั้นก็มาพร้อมด้วยรายละเอียดที่คุณสามารถทำตามได้แบบเบื้องต้น ดังนี้

การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา SEO

สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) คือ การสร้างเนื้อหาที่มีความถูกต้อง ครอบคลุม ละเอียด และมีความเชื่อถือ ร่วมกับการใส่ข้อมูลอ้างอิงของผู้เขียนและเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์อย่างชัดเจน เพื่อแสดงให้ระบบ Generative Engines สังเกตเห็นได้ว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ อย่างแท้จริง

การสร้างเนื้อหาที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย

โดยทั่วไปแล้วระบบ Generative Engines จะมีนำเอาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) มาใช้ประโยชน์ในการช่วยสังเคราะห์และสรุปรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านั้นไปแสดงผลในรูปแบบของคำตอบให้กับผู้ที่ซักถาม เพราะฉะนั้นแล้ว การสร้างเนื้อหาที่ระบบ AI จะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้การทำ SEO และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์

Schema Markup เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชิ้นสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์จะช่วยทำให้ Google Bot รวมถึง Generative AI สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนทำให้เว็บไซต์มีโอกาสที่จะปรากฏอยู่ในคำตอบของ AI ที่มากขึ้นตามไปด้วย

สรุป  GEO (Generative Engine Optimization)

อนาคตของการทำ SEO ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี โดยจะเห็นได้ว่าการทำ SEO ในอดีตจะมุ่งเน้นไปที่การให้ความสำคัญกับการใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ ร่วมกับการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สามารถดึงดูด Search Engine Crawlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทว่าการทำ SEO ในปัจจุบันนี้กลับมีการมุ่งเน้นไปที่การผสมผสานเทคนิคในการทำ SEO แบบดั้งเดิม เข้ากับแนวทางในการสร้างการตอบสนองของ Generative AI เพื่อช่วยทำให้ผลลัพธ์ของการทำ SEO มีความสอดคล้องอนาคตที่ถูกขับเคลื่อนด้วย AI และสามารถบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด หวังบทความจาก convertdigital นี้จะช่วยให้คุณรู้จัก GEO มากขึ้น

References

Read More