ทริกถ่ายวิดีโอสั้น (Short Video) ให้โดนใจ Gen Z

การสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้น หรือ Short Video กำลังเป็นกระแสอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่ชื่นชอบการรับชมคอนเทนต์แบบสั้น กระชับ และมีความสร้างสรรค์ บทความนี้เราจะพาคุณไปเรียนรู้เทคนิคการถ่ายวิดีโอสั้นที่จะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณโดนใจกลุ่มเป้าหมาย Gen Z ยิ่งคุณทำธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กกลุ่มนี้แล้วละก็ ห้ามพลาดเด็ดขาด !

เข้าใจพฤติกรรมของ Gen Z 

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจพฤติกรรมและความชอบของกลุ่ม Gen Z ก่อนเริ่มสร้างคอนเทนต์เสียก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบความรวดเร็วและสั้นกระชับ รวมถึงความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจ วิดีโอแต่ละคลิปจึงต้องมีความคิดสร้างสรรค์และต้องแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับความจริงใจ ยังเป็นสิ่งที่ Gen Z จะรู้สึกสบายใจในการดู เพราะไม่มีการปรุงแต่งที่มากเกินไป และสะท้อนความเป็นตัวตนอย่างแท้จริง

ขั้นตอนการถ่ายวิดีโอสั้นให้ได้ยอดวิวสูง

1. วางแผนก่อนถ่าย Short Video

โดยเริ่มจากการกำหนดคอนเซปต์ให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระบุเป้าหมายวิดีโอที่จะถ่ายเพื่อสื่ออะไร ต้องกำหนดอารมณ์และโทนของวิดีโอว่าจะดำเนินเรื่องแบบไหน และที่สำคัญต้องเตรียมสคริปต์หรือประเด็นหลักก่อนถ่าย เพื่อไม่ให้หลงประเด็นและจะทำให้เวลาถ่ายจริงจบได้อย่างรวดเร็ว อาจทำ storyboard คร่าว ๆ ได้

จากนั้นมากำหนดสถานที่ถ่ายทำที่เหมาะสม คือต้องมีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการถ่ายวิดีโอ จัดฉากหลังไม่รกเกินไปและดูสวยงาม เพิ่มลูกเล่นบางจุดได้เพื่อให้มีความน่าสนใจและสอดคล้องกับเนื้อหาที่ถ่าย

2. เทคนิคการถ่ายวีดีโอสั้น (Short Video) ให้น่าสนใจ มีดังนี้

  • การจัดองค์ประกอบภาพ : ควรใช้กฎสามส่วน (Rule of Thirds) ในการถ่าย แล้วจัดวางตำแหน่งให้น่าสนใจ รวมถึงระวังสิ่งรบกวนในเฟรมระหว่างถ่ายด้วย
  • การใช้แสงอย่างสร้างสรรค์ : แนะนำว่าหากใช้แสงธรรมชาติจะได้ภาพที่สีธรรมชาติเช่นกัน บางคลิปที่เห็นผิวก็จะได้ผิวสีสวยธรรมชาติ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงมุมกล้องที่ย้อนแสง เพราะจะทำให้วิดีโอมืด แต่หากมุมที่ถ่ายแสงสว่างไม่พอจริง ๆ ก็ใช้อุปกรณ์เสริมได้ เช่น ไฟ LED หรือไฟสีชนิดอื่นที่เข้ากับธีมอยู่
  • การเคลื่อนไหวกล้อง : สร้างจังหวะการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลขณะถ่าย และต้องไม่เคลื่อนกล้องเร็วเกินไป เพื่อให้ง่ายเวลานำไปตัดต่อ แต่อีกแนวคิดก็มีกระแสการถ่ายคลิปที่ดึงกล้องขึ้นลงแบบรวดเร็วได้เช่นกัน ดังนั้นเนื้อหาคลิปวิดีโอจะเป็นแบบไหนอาจต้องเลือกให้เข้ากับคอนเซปต์หลักด้วยนั่นเอง

3. การตัดต่อวิดีโอสั้นให้ดูเป็นมืออาชีพ แบ่งเป็นรายละเอียดแยกย่อยดังนี้

  • เทคนิคการตัดต่อที่น่าสนใจ : ส่วนใหญ่มักใช้การใส่ Transition เพื่อต่อคลิปแต่ละคลิปให้มีความลื่นไหล เพื่อสร้างความน่าสนใจในการถ่ายวิดีโอแต่ละช็อต ทั้งนี้เทคนิคที่เห็นบ่อยจะมีทั้ง Jump Cut เพื่อสร้างจังหวะเร้าใจ, Match Cut เพื่อเชื่อมโยงฉากต่าง ๆ อย่างลงตัว, Pattern Interrupt เพื่อสร้างความแปลกใหม่ในวิดีโอ หรือ Visual Effects เพื่อดึงความน่าสนใจให้เพิ่มขึ้น ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอีกเยอะมาก ไม่ได้มีกฏตายตัว สามารถสร้างความเป็นตัวเองได้เลย
  • ความยาวที่เหมาะสม : TikTok ใช้เวลา 15-60 วินาที, Instagram Reels ใช้เวลา 15-90 วินาที และ YouTube Shorts ใช้เวลาไม่เกิน 60 วินาที ดังนั้นควรเลือกความยาวให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม
  • การใช้เพลงและเสียงประกอบในวิดีโอ : ควรเลือกเพลงที่กำลังเป็นเทรนด์สำหรับวิดีโอสั้น เช่น เพลงออกใหม่จากศิลปินดังก็จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะอัลกอริทึมจะนำส่งคลิปเราไปตามเทรนด์เสียงนั้น นอกจากนี้การใช้เสียง Sound Effect เพิ่มความน่าสนใจให้วิดีโอยังเป็นกิมมิกเล็กน้อยที่ช่วยดึงดูดความสนใจ และสร้างสีสันในคนอยากดูจนจบคลิป สุดท้ายคือการจับจังหวะการตัดต่อให้เข้ากับจังหวะเพลงในคลิปวิดีโอ ยิ่งตัดตรงจังหวะยิ่งน่าสนใจ
กลุ่มเด็ก Gen Z กำลังถ่ายวิดีโอ

องค์ประกอบที่ทำให้วิดีโอน่าสนใจสำหรับ Gen Z

1. การใช้ข้อความในวิดีโอ (Text Overlay)

  • ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายและทันสมัยในวิดีโอ
  • เน้นประเด็นสำคัญด้วยข้อความระหว่างตัดคลิป
  • ใส่คำบรรยายสำหรับผู้ชมที่ปิดเสียงขณะรับชมวิดีโอ

2. การใช้สติกเกอร์และ Filter ในวิดีโอ

  • เลือกใช้อย่างพอดี ไม่มากเกินไป
  • สอดคล้องกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายของวิดีโอ
  • สร้างความน่าสนใจแต่ไม่รบกวนเนื้อหาหลักของวิดีโอ

3. เทคนิคการสร้างการมีส่วนร่วมผ่านวิดีโอ

  • Call to Action ที่ชัดเจน : ตอนท้ายคลิปชวนให้กดไลก์ กดแชร์ และติดตามวิดีโอสั้นต่อไป รวมถึงเชิญชวนให้ผู้ชมมาพูดคุยในคอมเมนต์ใต้คลิปวิดีโอ
  • การใช้แฮชแท็กสำหรับวิดีโอ : ต้องเป็นแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิดีโอ และยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับแฮชแท็กที่กำลังเป็นกระแสในการถ่ายวิดีโอสั้น (Short Video) ด้วยแล้วยิ่งได้ยอด engagement เพิ่มขึ้น รวมถึงให้คิดแฮชแท็กเฉพาะของตัวเองเพื่อสร้างแบรนด์วิดีโอให้คนจดจำ

เทรนด์ล่าสุดในการถ่ายวิดีโอ (Short Video)

  • POV (Point of View) Content : เลือกการถ่ายในมุมมองที่น่าสนใจ โดยเล่าเรื่องผ่านประสบการณ์ส่วนตัวอย่างมีชั้นเชิง เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้ชมวิดีโอ
  • Storytelling แบบสั้นกระชับ : เริ่มต้นด้วยฮุคที่น่าสนใจในวินาทีแรก ๆ เพื่อให้คนดูหยุดดู และมีจุดพลิกผันที่น่าติดตามระหว่างวิดีโอ สุดท้ายให้จบด้วยความประทับใจเพื่อให้ผู้ชมจดจำวิดีโอ
  • Behind the Scene : แนะนำว่าให้ถ่ายคลิปวิดีโอระหว่างการทำงานไว้ด้วย เพื่อให้สามารถนำคลิปที่ตั้งกล้องไว้นี้มาเผยเบื้องหลังที่น่าสนใจของการถ่ายจากคลิปวิดีโอหลักได้ สิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้างความใกล้ชิดกับผู้ชมผ่านวิดีโอที่เป็นธรรมชาติมาก

ข้อควรระวังในการถ่ายคลิปวิดีโอ (Short Video)

1. คุณภาพของวิดีโอ

  • ความละเอียดของภาพต้องชัดเจน
  • เสียงต้องคมชัด ไม่มีเสียงรบกวนระหว่างถ่ายวิดีโอ
  • การตัดต่อต้องเนียน ไม่สะดุดเพื่อสร้างประสบการณ์รับชมวิดีโอที่ดี

2. ลิขสิทธิ์

  • ระวังการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ในวิดีโอของคุณ
  • เครดิตแหล่งที่มาของเนื้อหาที่นำมาใช้ในวิดีโอ
  • ใช้เพลงและภาพที่ได้รับอนุญาตสำหรับวิดีโอของคุณ

3. ความเหมาะสมของเนื้อหา

  • ระวังการถ่ายที่มีเนื้อหาละเมิดกฎชุมชน
  • หลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหวที่อาจสร้างปัญหาในวิดีโอ
  • รักษามาตรฐานความปลอดภัยในการถ่ายคลิปทุกครั้ง

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่าย Short Video

1. อุปกรณ์พื้นฐาน : สามารถเลือกใช้มือถือสมาร์ทโฟนแบบไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แพลตฟอร์มวิดีโอจะเน้นคลิปที่มีคุณภาพดี รวมถึงการหาขาตั้งกล้องหรือ Gimbal มาไว้ใช้เพื่อให้ภาพจากวิดีโอนิ่ง ที่สำคัญถ้ามีการพูดควรใช้ไมโครโฟนภายนอกแยกส่วนจากในคลิป เพื่อคุณภาพเสียงที่ดีในวิดีโอมากยิ่งขึ้น

2. อุปกรณ์เสริม : ไฟสำหรับถ่ายในพื้นที่ที่มีสภาพแสงน้อย เลนส์เสริมสำหรับมือถือเพื่อมุมมองที่หลากหลายในวิดีโอ หรืออุปกรณ์ควบคุมระยะไกลเพื่อความสะดวกขณะถ่ายคลิป

การวัดผลและปรับปรุงคุณภาพวิดีโอ

ตัวชี้วัดสำคัญคือยอดวิวและการมีส่วนร่วมกับวิดีโอ อัตราการรับชมวิดีโอจนจบ รวมถึงการแชร์และการคอมเมนต์ใต้วิดีโอ นอกจากนี้ ในการวิเคราะห์และปรับปรุงวิดีโอควรศึกษาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโพสต์วิดีโอ วิเคราะห์รูปแบบวิดีโอที่ได้รับความนิยมว่าคลิปคนอื่นทำอย่างไร แล้วนำมาเป็นแนวทางได้แต่ต้องไม่ copy อีกทั้งการปรับปรุงเทคนิคการถ่ายคลิปตาม feedback ของผู้ชมยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชมประทับใจและติดตามในระยะยาว

โดยปัจจุบันทุกแพลตฟอร์มบนโซเชียลมีเดียมีระบบหลังบ้านที่วิเคราะห์แต่ละคลิปให้เรารู้ Data เบื้องหลังง่ายขึ้น เราสามารถนำสิ่งที่ระบบแนะนำมาพัฒนาต่อได้อย่างตรงจุด

Convert Digital พร้อมทำให้การถ่ายวิดีโอ Short Video เป็นเรื่องง่าย

การถ่ายวิดีโอสั้น หรือ Short Video ให้โดนใจ Gen Z ไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจพื้นฐานและเทคนิคต่าง ๆ สิ่งสำคัญคือต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายคลิป เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และพร้อมที่จะปรับตัวตามเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเทคนิคที่เรานำมาแชร์วันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่หากต้องการให้คลิปวิดีโอของคุณเป็นกระแสอยู่ต้องไม่หยุดศึกษาอะไรใหม่ ๆ หรือคิดว่าแค่บริหารธุรกิจก็เหนื่อยแล้ว ก็มาปรึกษาที่ Convert Digital ได้ เพราะเรามี Social Media Service ในทุกแพลตฟอร์มเพียงคุณบอกเป้าหมาย เราจะแชร์ไอเดียสุดเจ๋งให้กับคุณ

Read More

Google Search Console คืออะไร? มารู้จักเครื่องมือฟรีตัวสำคัญในการทำ SEO ให้ไต่อันดับสูงขึ้นกัน

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันของธุรกิจออนไลน์สูงขึ้นเรื่อย ๆ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามเพราะทั้งช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์และช่วยลดค่าโฆษณาที่บริษัทต้องใช้ได้อย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อ SEO ติด ranking ที่ดี 

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจอาจจะไม่ค่อยคุ้นว่า Google Search Console คืออะไร? ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Google Search Console อย่างละเอียด พร้อมเรียนรู้วิธีการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ทั้งเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดที่กำลังทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้รับข้อมูลที่สามารถนำไปทำงานต่อได้อย่างถูกทาง

Google Search Console คืออะไร ?

Google Search Console คือเครื่องมือฟรีที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตาม วิเคราะห์ และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ได้ เครื่องมือนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับการแสดงผลของเว็บไซต์ เช่น จำนวน Impressions (คนมองเห็น) Clicks (จำนวนคลิก) Click-through-rate (CTR) Average Position (อันดับ ranking) ไปจนถึง Search Query (คำที่ผู้คนค้นหาและเจอเว็บไซต์ของคุณ) 

Google Search Console ยังสามารถช่วยวิเคราะห์ปัญหาทางเทคนิคต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรับปรุง SEO ให้ติดอันดับหน้าแรก ๆ หรือเจอเว็บไซต์อยู่ด้านบนอีกด้วย

ประโยชน์หลักของ Google Search Console

1. การติดตามและค้นหาข้อมูลมีประสิทธิภาพ

Google Search Console คือแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลด้านต่าง ๆ ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลในการค้นหาอย่างไร และมีผู้ใช้โต้ตอบกับผลการค้นหาของคุณอย่างไร เช่น 

  • จำนวนการแสดงผล (Impressions)
  • อัตราการคลิก (Click-through Rate – CTR)
  • ตำแหน่งเฉลี่ยในผลการค้นหา
  • จำนวนคลิกทั้งหมด
  • คีย์เวิร์ดที่นำผู้ใช้มาสู่เว็บไซต์

ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลในการค้นหาอย่างไร และมีผู้ใช้โต้ตอบกับผลการค้นหาของคุณอย่างไร 

2. ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค

Google Search Console ช่วยระบุปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ เช่น ปัญหาการ Crawl ของ Googlebot, ข้อผิดพลาดของ Mobile Usability, ปัญหา Schema Markup, ข้อผิดพลาดของ HTML และปัญหาการเข้าถึงหน้าเว็บ

3. การจัดการ Sitemap และ URL

Google Search Console คือตัวช่วยที่ทำให้คุณสามารถส่ง Sitemap ใหม่ให้ Google ได้ รวมถึงตรวจสอบสถานะการ Index ของ URL นอกจากนี้ยังขอให้ Google Crawl URL ใหม่ และลบ URL ที่ไม่ต้องการออกจากผลการค้นหาได้

วิธีการตั้งค่าและใช้งาน Google Search Console

เริ่มต้นใช้งานโดยเข้าสู่เว็บไซต์ Google Search Console แล้วเลือกวิธีการยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์อย่างการเพิ่ม HTML tag, การอัพโหลดไฟล์ HTML, การใช้ Google Analytics, การใช้ Google Tag Manager และการเพิ่ม DNS record

หน้าตาของ google search console

การใช้งานฟีเจอร์สำคัญ แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. การดูรายงานประสิทธิภาพ : โดยเข้าไปที่ส่วน “Performance” แล้วเลือกช่วงเวลาที่ต้องการดูข้อมูล จากนั้นก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่าง เช่น คีย์เวิร์ดยอดนิยม, หน้าเว็บที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด, ประเทศที่มีการค้นหามากที่สุด หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึง
  2. การตรวจสอบ Core Web Vitals : Google Search Console คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถดูรายงาน Core Web Vitals และตรวจสอบค่า Largest Contentful Paint (LCP), First Input Delay (FID) และ Cumulative Layout Shift (CLS)
  3. ระบุหน้าเว็บที่ต้องการการปรับปรุง : สำหรับกลยุทธ์การใช้ Google Search Console เพื่อปรับปรุง SEO เราขอแบ่งดังนี้

– การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด : สามารถตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่นำ traffic มาสู่เว็บไซต์ และค้นหาโอกาสใหม่ ๆ จากคีย์เวิร์ดที่มี Impressions สูงแต่ CTR ต่ำ นอกจากนี้ยังปรับปรุง Meta Title และ Meta Description เพื่อเพิ่ม CTR

– การปรับปรุงเนื้อหา : Google Search Console คือแหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้ข้อมูลเพื่อระบุเนื้อหาที่ต้องปรับปรุง หรือหากต้องการอัปเดตเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพต่ำ นอกจากนี้ยังสร้างเนื้อหาใหม่ตามความต้องการของผู้ใช้ได้อีกด้วย

– การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค : ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด 404 รวมถึงปรับปรุง Mobile Usability และแก้ไขปัญหา Schema Markup

การใช้ Google Search Console ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

  1. การใช้ API เพื่อระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ : ความสามารถของ API ใน Google Search Console นั้นจะปลดล็อคความเป็นไปได้ในการทำงานอัตโนมัติที่ทรงพลัง ได้แก่
  • การผสานข้อมูลกับระบบวิเคราะห์อื่น : เชื่อมต่อข้อมูล Google Search Console กับการวิเคราะห์ที่มีอยู่เพื่อข้อมูลเชิงลึกด้านประสิทธิภาพที่ครอบคลุม
  • ระบบรายงานอัตโนมัติ : สร้างรายงานตามกำหนดเวลาที่เน้นเมตริกสำคัญและการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแทรกแซงด้วยตนเอง
  • การติดตามแบบเรียลไทม์ : ใช้ระบบที่แจ้งเตือนคุณทันทีเมื่ออันดับความผันผวนหรือปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญ
  1. จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น : ด้วยความที่ Google Search Console คือเครื่องมือที่ไม่สามารถทำให้ไต่อันดับได้โดยตรง เพียงแต่สามารถดูข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้เหล่าคนทำ SEO สามารถทำในทิศทางที่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อภาพรวมที่สมบูรณ์ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นเมื่อใช้ Google Search Console ร่วมกับเครื่องมือเหล่านี้
  • Google Analytics : เชื่อมโยงข้อมูลการค้นหากับพฤติกรรมผู้ใช้เว็บไซต์เพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น
  • Google Ads : ปรับข้อมูลการค้นหาแบบออร์แกนิกและแบบชำระเงินให้สอดคล้องกันเพื่อกลยุทธ์การตลาดแบบองค์รวม
  • เครื่องมือ SEO ระดับมืออาชีพ : เพิ่มข้อมูลของ Google ด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกจากแพลตฟอร์ม SEO เฉพาะทาง เช่น Ahrefs, SEMrush, Moz Pro, Screaming Frog, SE Ranking และ Serpstat

ข้อจำกัดในการแสดงข้อมูล

  1. ข้อมูลไม่แสดงผลแบบเรียลไทม์ : เนื่องจากข้อมูลมักจะล่าช้า 2-3 วัน ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทันที และข้อมูลบางส่วนอาจอัปเดตเพียงสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งหากต้องการข้อมูลที่เรียลไทม์ควรดูวันที่อัปเดตล่าสุดในแต่ละส่วนอีกครั้ง
  2. ข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลย้อนหลัง : ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะถูกเก็บไว้ย้อนหลังได้เพียง 16 เดือน หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเกินช่วงเวลานั้นจะไม่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบได้
  3. ข้อจำกัดในการวิเคราะห์ : ไม่สามารถดูข้อมูลคู่แข่งโดยตรงได้ ต่างจากเครื่องมือ SEO แบบเสียเงิน และไม่มีการแสดงผลการติดตามอันดับคีย์เวิร์ดแบบละเอียด (จะแสดงเพียงตำแหน่งเฉลี่ยเท่านั้น) ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ backlink อย่างละเอียด เช่น คุณภาพลิงก์ anchor text
  4. ความไม่สม่ำเสมอของข้อมูล : บางครั้งข้อมูลอาจไม่สอดคล้องกับเครื่องมือ Google อื่น ๆ และการคำนวณตำแหน่งเฉลี่ยอาจทำให้เข้าใจผิดได้ในบางกรณี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของ Google อาจส่งผลให้ข้อมูลบางส่วนเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการแจ้งเตือน

แม้ Google Search Console คือเครื่องมือที่มีความสำคัญสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าค่อนข้างมีข้อจำกัดด้านข้อมูลสำคัญ ๆ ที่ไม่ครอบคลุม จึงอาจทำให้การวิเคราะห์คลาดเคลื่อนได้หลายจุด ดังนั้นหากรู้สึกว่ายุ่งยากในการใช้เครื่องนี้นี้สำหรับทำ SEO ก็ให้บริษัทเราเป็นที่ปรึกษาได้เสมอ เพราะนอกจาก Google Search Console แล้วเรายังมีโปรแกรม Paid SEO Tool อื่น ๆ ที่ให้ข้อมูลลึกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลคู่แข่งได้ทุกเว็บไซต์เพื่อวางแผน SEO ให้ดีขึ้นแบบไร้ข้อจำกัด

Read More

Google Analytics คืออะไร จำเป็นอย่างไรสำหรับธุรกิจ E-commerce ?

ในยุคปัจจุบันที่ธุรกิจ E-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว การมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และประเมินผลเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ วันนี้เราจึงอยากชวนมาทำความรู้จักว่า Google Analytics คืออะไร ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ระหว่างทำธุรกิจให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไรบ้าง และสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างรายได้มากขึ้นได้จริงหรือไม่ มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

Google Analytics คืออะไร ?

Google Analytics คือ เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจข้อมูลเชิงลึกของผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมการใช้งาน และประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ได้มากขึ้น ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Conversion ได้อย่างละเอียด 

โดยปัจจุบัน Google Analytics อัปเกรดเวอร์ชันล่าสุดเป็น Google Analytics 4 หรือ GA4 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ของ GA4 จะช่วยให้ผู้ประกอบการ วิเคราะห์ข้อมูล E-commerce ได้ลึกซึ้งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

Predictive Metrics

GA4 ใช้ AI ในการคาดการณ์พฤติกรรมผู้ใช้ในอนาคต เช่น Purchase Probability โอกาสที่ผู้ใช้จะซื้อสินค้าในอีก 7 วัน Churn Probability โอกาสที่ผู้ใช้จะไม่กลับมาที่เว็บไซต์ในอีก 7 วัน และ Revenue Prediction รายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากผู้ใช้ในอีก 28 วัน ฟังก์ชันนี้ไม่มีอยู่ในเวอร์ชันเก่าและมักไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ การที่เราสามารถทราบแนวโน้มสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก็จะช่วยให้เราวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

Engagement Metrics ใหม่

แทนที่จะใช้ Bounce Rate แบบเดิม GA4 ใช้ Engagement Rate ที่วัดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยพิจารณาจากการอยู่บนเว็บไซต์นานกว่า 10 วินาที และการดูมากกว่า 1 หน้า รวมถึงการเกิด Conversion Event ต่าง ๆ ซึ่งอาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการติด Conversion Tracking ต่าง ๆ ให้ถูกต้องเหมาะสม เช่น การ add line, การส่งฟอร์ม, add to cart ไปจนถึง purchase เนื่องจากโดยมาก marketing in-house หรือ owner มักจะไม่คุ้นเคยกับการติดตั้ง conversion tracking ในลักษณะดังกล่าว

Funnel Analysis

สามารถสร้างและวิเคราะห์ Funnel แบบกำหนดเองได้ เพื่อดูว่าผู้ใช้หลุดออกจากกระบวนการซื้อสินค้าตรงขั้นตอนใด ด้วย Funnel Analysis คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าลูกค้าหลุดออกจากกระบวนการซื้อสินค้าในขั้นตอนไหน เช่น หน้ากรอกที่อยู่จัดส่ง ทำให้คุณสามารถปรับปรุงหน้านั้นให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มอัตราการซื้อสินค้าสำเร็จได้

Path Analysis

วิเคราะห์เส้นทางการเข้าชมของผู้ใช้ ทำให้เห็นว่าผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์จากช่องทางใด และไปที่หน้าใดต่อ

Segment Builder

สร้างกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมหรือคุณลักษณะได้อย่างละเอียด เช่น “ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้ามากกว่า 1 ครั้งในเดือนที่ผ่านมา”

User-ID

ติดตามผู้ใช้ข้ามอุปกรณ์และแพลตฟอร์มได้ดีขึ้น ทำให้เห็นภาพรวมของ Customer Journey

BigQuery Export

ส่งออกข้อมูลดิบไปยัง BigQuery เพื่อการวิเคราะห์ขั้นสูงหรือเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ (มีให้ใช้ฟรีในเวอร์ชันฟรีของ GA4)

ตัวอย่างหน้าตาของ Google Analytics

ทำไมธุรกิจ E-commerce ต้องใช้ Google Analytics ?

  • เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า : เพราะ Google Analytics ช่วยให้คุณทราบว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเป็นใครและพวกเขาทำอะไรบนเว็บไซต์บ้าง หรือรู้ที่มาว่ามาจากช่องทางไหน แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับแต่งเนื้อหาและออกแบบเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี
  • วัดผลแคมเปญการตลาด : คุณสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น SEO  โฆษณา Google Ads หรือโซเชียลมีเดีย ข้อมูลนี้ช่วยให้คุณทราบว่าควรลงทุนในช่องทางไหนมากขึ้นหรือน้อยลง รวมถึงทำให้การใช้งบประมาณการตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ : แน่นอนว่า Google Analytics คือเครื่องมือที่ทำให้เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์ในหลายจุด เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์และอัตราการตีกลับ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณระบุปัญหาทางเทคนิคและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีขึ้น
  • ช่วยเพิ่ม Conversion Rate : คุณสามารถตั้งเป้าหมายใน Google Analytics ได้ เช่น การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลดเอกสารหรือการซื้อสินค้า ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้ใช้กระทำสิ่งที่คุณต้องการมากน้อยแค่ไหน

Conversion Tracking เกี่ยวข้องกับ Google Analytics อย่างไร

แม้ Google Analytics คือเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจ E-commerce หลายเจ้าประสบความสำเร็จด้วยการนำข้อมูลเชิงลึก แต่นอกจาก Google Analytics แล้ว อีกเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของธุรกิจ E-commerce คือ Conversion Tracking ซึ่งทำงานร่วมกับ Google Analytics หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเราไม่สามารถใช้ Google Analytics เพียงอย่างเดียวได้ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวอื่นร่วมด้วย เช่น Google Analytics, Facebook Pixel, LinkedIn Insight Tag และ Google Ads Conversion Tracking โดยการวัดผล conversion เหล่านี้จะช่วยซัพพอร์ตสิ่งที่เราจะได้จากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลการสั่งซื้อ, รายชื่อลูกค้าใหม่, จำนวนคนที่สมัครสมาชิกหรือการลงทะเบียนกรอกแบบฟอร์ม ทำให้สามารถติดตามกระบวนการชำระเงินตั้งแต่ต้นจนจบ ระบุจุดที่ลูกค้าออกจากกระบวนการสั่งซื้อ และปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินให้ราบรื่นยิ่งขึ้นได้นั่นเอง

Conversion Tracking คืออะไร ?

เครื่องมือที่สำคัญอีกหนึ่งตัวคือ Conversion Tracking ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตามและวัดผลกิจกรรมที่ผู้ใช้ทำหลังจากเห็นโฆษณา โดยข้อมูลที่ได้จะถูกส่งไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Facebook Google หรือ LINE ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หลักการทำงานของ Conversion Tracking

  1. การติดตั้ง : ติดตั้งชุดคำสั่งบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เพื่อระบุตัวตนผู้ใช้และติดตามพฤติกรรมบนหน้าต่าง ๆ
  2. การติดตาม : เมื่อมี Conversion เกิดขึ้น ตัวชุดคำสั่งจะบันทึกข้อมูลและส่งไปยังระบบวิเคราะห์
  3. การประมวลผล : ระบบวิเคราะห์จะประมวลผลข้อมูล เพื่อทำรายงานและปรับปรุงเนื้อหาโฆษณาต่อไป

การติดตั้ง Conversion Tracking

ก่อนที่จะเริ่มลงโฆษณาแบบ Conversion เจ้าของเว็บไซต์จะต้องติดตั้งระบบ Conversion Tracking ซึ่งสามารถทำได้โดยการนำโค้ดจากแพลตฟอร์มโฆษณาที่ต้องการมาใส่ในเว็บไซต์ โดยระบบนี้จะช่วยในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์มาประมวลผล ทั้งนี้ผู้ใช้แพลตฟอร์ม LnwShop Pro สามารถติดตั้ง Conversion Tracking ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเติม เนื่องจากระบบได้มีการเตรียมโค้ดไว้รองรับแล้ว

ทั้งนี้ ในการติด tracking หากเราทำอย่างครบถ้วน ก็จะสามารถเห็นยอดรวม Revenue ได้ว่ามาจากช่องทางไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็น SEO, Google Ads, Social ฯลฯ แต่หากหลายคนยังไม่เข้าใจไม่อยากเสียเวลาวิเคราะห์เองให้วุ่นวายก็สามารถมาปรึกษาทีมงานของ Convert Digital ได้ เพราะเราเชี่ยวชาญด้านการตลาด ดูแลแคมเปญโฆษณา รวมถึงการทำเว็บไซต์ให้ติด SEO จากประสบการณ์ดูแลลูกค้าธุรกิจชั้นนำที่หลากหลายให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวัง

Read More

Customer Journey คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับการตลาด

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า… กว่าที่คนคนหนึ่งจะกลายมาเป็นลูกค้าของธุรกิจได้นั้นจะต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง ?

หากลองมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นเราก็มักจะพบว่าเส้นทางที่ลูกค้าใช้เดินทางมาพบกับธุรกิจนั้นไม่ได้มีความเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา เพราะฉะนั้นแล้วการทำความเข้าใจกับ Customer Journey หรือเส้นทางการเดินทางของลูกค้า จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการขายและการบริการให้มีความเหมาะสมกับจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้าต้องเผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

เจาะลึกความหมายของ Customer Journey

สิ่งนี้นี้เป็นแผนภาพประเภทหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการเดินทางของลูกค้า นับตั้งแต่ก่อนที่จะได้รู้จักกับธุรกิจ จนกระทั่งกลายมาเป็นลูกค้าที่ให้ความสนใจและตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้งาน และกลายมาเป็นผู้ที่เกิดความรู้สึกภักดีต่อธุรกิจในท้ายที่สุด โดยมีความครอบคลุมกับทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้าจะมีโอกาสได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย รวมถึงร้านค้าและบริการหลังการขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถออกแบบและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ในทุก Touchpoint จนนำไปสู่การช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำมากที่สุด

ขั้นตอนหลักใน  Customer Journey

ขั้นตอนหลักใน Customer Journey

ขั้นตอนหลักถูกนำมาใช้ในการอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางที่ลูกค้าเดินทางมาตั้งแต่ที่ได้เริ่มต้นรู้จักกับธุรกิจ ก่อนจะกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่มีความภักดีต่อแบรนด์ ดังนี้ 

1. การรับรู้ (Awareness)

ในขั้นแรกของ Customer Journey ลูกค้าจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของธุรกิจ สินค้า หรือบริการได้จากการจัดกิจกรรมการตลาด อาทิ การทำโฆษณา การทำการตลาดออนไลน์ การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การเขียนบทความ หรือการบอกต่อจากคนใกล้ชิด เพราะฉะนั้นแล้ว ธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้างการรับรู้และการจดจำเกี่ยวกับแบรนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจและสร้างการจดจำในสายตาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

2. การพิจารณา (Consideration)

เมื่อลูกค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นถัดมาคือขั้นตอนของการเลือกซื้อสินค้า โดยธุรกิจจำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการออกมาอย่างโดดเด่น เพื่อช่วยทำให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาและเปรียบเทียบข้อมูลของสินค้า เกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในท้ายที่สุด

3. การซื้อสินค้า (Purchase)

เมื่อผ่านขั้นตอนของการพิจารณาแล้ว ลูกค้าจะเริ่มเข้าสู่ Customer Journey ของการซื้อสินค้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ธุรกิจจะต้องทำให้ขั้นตอนในการซื้อสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และน่าประทับใจมากที่สุด เพื่อช่วยทำให้ลูกค้าไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการซื้อสินค้าหรือเปลี่ยนไปซื้อเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจคู่แข่ง

4. การใช้ซ้ำ (Retention)

เมื่อลูกค้าได้ทำการเลือกซื้อสินค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจจำเป็นที่ต้องทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพึงพอใจในตัวสินค้ามากที่สุด ผ่านการมอบสิทธิพิเศษ การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง การติดตามผลลัพธ์ในการใช้งาน รวมถึงการให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยสร้างความประทับใจและกระตุ้นให้ลูกค้าที่กำลังอยู่ใน Customer Journey ดังกล่าวนี้อยากที่จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้ง

5. การบอกต่อ (Advocacy)

การบอกต่อเป็นขั้นสุดท้ายของ Customer Journey ที่ลูกค้าประจำจะอยากบอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อธุรกิจและสินค้า ผ่านการเขียนรีวิว การแชร์บนโซเชียลมีเดีย หรือการพูดคุยในกลุ่มเพื่อนและครอบครัว เพราะฉะนั้นแล้ว การรักษาลูกค้าในขั้นตอนนี้จึงเป็นก้าวที่สำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยทำให้ธุรกิจได้มาซึ่งลูกค้าที่มีความภักดีและอยากสนับสนุนธุรกิจอย่างจริงใจมากที่สุด

ทำไมถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ ?

เพราะนี่เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจกับเส้นทางและประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง จนนำไปสู่การช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละจุดสัมผัส (Touchpoints) ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการวิเคราะห์ยังช่วยทำให้ธุรกิจสามารถระบุปัญหาและอุปสรรคที่อาจทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกลังเลใจหรือไม่พอใจในตัวสินค้าหรือบริการได้อย่างตรงจุด จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ร่วมกับการช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

การสร้าง Customer Journey Map

การสร้าง Customer Journey Map อย่างละเอียด เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนดังนี้

  • การระบุ Touchpoints

ธุรกิจควรระบุจุดสัมผัส หรือ Touchpoints ทั้งหมดที่ลูกค้าจะมีโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ อาทิ การเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ การโต้ตอบกับธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การพูดคุยถามตอบกับทีมขายหน้าร้าน รวมถึงการเข้ารับบริการหลังการขาย เนื่องจากจุดสัมผัสที่เกิดขึ้นบน Customer Journey Map เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นว่า ลูกค้ามักจะติดต่อกับธุรกิจผ่านทางช่องทางใดบ้าง และประสบการณ์ที่ได้รับจากการให้บริการในแต่ละจุดนั้นมีความราบรื่นและเป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่

  • การระบุ Pain Points

หลังจากที่ได้ทำการระบุ Touchpoints เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดมา คือ การค้นหา Pain Points หรือปัญหาที่ลูกค้ามักจะพบเจอในระหว่างการเดินทางบน Customer Journey อาทิ กระบวนการสั่งซื้อสินค้าที่ซับซ้อน การตอบสนองของธุรกิจที่ล่าช้า หรือการแสดงข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนาจุดอ่อนของตนเองเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดีที่สุด

กลยุทธ์ในการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

ธุรกิจสามารถนำเอาข้อมูลเชิงลึกจาก Customer Journey มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์เส้นทางการเดินทางของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนได้อย่างละเอียด เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจไม่เพียงสามารถปรับแต่งการให้บริการหรือการนำเสนอสินค้าให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต และเตรียมความพร้อมในการตอบสนองต่อความคาดหวังใหม่ ๆ ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำและทันเวลา จนทำให้ลูกค้าทุกคนได้รับประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดในทุกขั้นตอนของ Customer Journey

การวัดและประเมินผล

การวัดและประเมินผล Customer Journey เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำการประเมินได้ว่า กลยุทธ์ที่ได้เลือกนำมาใช้งานนั้นประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด โดยธุรกิจสามารถเลือกใช้ตัวชี้วัด อาทิ Net Promoter Score (NPS) เพื่อวัดระดับความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า หรือเลือกใช้ Customer Satisfaction Score (CSAT) และ Customer Effort Score (CES) เพื่อประเมินประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละจุดสัมผัสของเครื่องมือนี้ได้อย่างแม่นยำ จนทำให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการให้ดีมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

การใช้เทคโนโลยีในการติดตาม

โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยติดตามและปรับปรุง Customer Journey ของธุรกิจมักจะอยู่ในรูปแบบของระบบ Customer Relationship Management (CRM) ที่สามารถทำการรวบรวมข้อมูลและติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ การนำเอา AI และ Machine Learning มาใช้ประโยชน์เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก ยังช่วยทำให้ธุรกิจสามารถลดความซับซ้อนในการให้บริการและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นในอนาคต

แนวโน้มในยุคดิจิทัลปี 2025

ในปี ค.ศ. 2025 นี้ Customer Journey จะยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมและความคาดหวังของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม การนำเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถนำเอาข้อมูลและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อสร้างความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Read More

Schema Markup สำคัญต่อ SEO อย่างไร ?

ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ยังคงให้ความสำคัญกับการค้นหาสินค้าและบริการต่าง ๆ ผ่าน Search Engine กันมาอย่างต่อเนื่อง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การทำ SEO (Search Engine Optimization) ไม่เพียงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่สามารถช่วยผลักดันให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างการมองเห็นในโลกออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เครื่องมือ Schema Markup จึงได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถยกระดับการทำ SEO ของเว็บไซต์ให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแท้จริง

Schema Markup คืออะไร ?

Schema Markup เป็นโค้ดที่มีความยาวเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดชุดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้ติดตั้งเป็นส่วนเสริมลงบนหน้าเว็บไซต์เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google, Bing และ Yahoo ไม่เพียงสามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาเหล่านี้สามารถดึงเอาข้อมูลที่มีประโยชน์บนหน้าเว็บไซต์ไปแสดงผลบนหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา (SERP) จนทำให้เว็บไซต์มีแนวโน้มที่จะติดอันดับที่สูงขึ้นและสามารถดึงดูด Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ได้มากขึ้นตามไปด้วย

ทำไมถึงสำคัญต่อ SEO ?

เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยทำให้ Google สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์มีความโดดเด่นและสามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์

Schema Markup เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยทำให้ Google Bot ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google สามารถทำความเข้าใจกับองค์ประกอบและเนื้อหาต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ด้วยการจัดรูปแบบโครงสร้างของข้อมูลอย่างเป็นระบบและระเบียบ จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับที่มากยิ่งขึ้นสูงขึ้นบนหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา (SERP) 

ช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR)

ไม่เพียงช่วยทำให้ข้อมูลบนเว็บไซต์มีความโดดเด่นในสายตาของ Search Engine มากยิ่งขึ้น แต่ยังช่วยทำให้ข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์สามารถแสดงผลในรูปแบบ Rich Snippets อาทิ การแสดงคะแนนรีวิว รูปภาพ หรือคำถามที่พบบ่อย ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรู้สึกสนใจและอยากที่จะคลิกเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น จนทำให้อัตราการคลิกและปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ประเภทของ Schema Markup

  1. Article : เนื้อหาที่มีลักษณะเป็นบทความ อาทิ ข่าว บล็อกโพสต์ หรือเนื้อหาที่มีสาระความรู้ที่น่าสนใจ
  2. Product : เนื้อหาที่ใช้แสดงรายละเอียดของสินค้า อาทิ ชื่อสินค้า ราคา และคะแนนรีวิว
  3. FAQ : เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำถามและคำตอบที่พบบ่อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลแบบ Rich Results ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. Event : เนื้อหาที่เกี่ยวกับงานแสดงหรือกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ คอนเสิร์ต การประชุม หรือเวิร์กชอป ซึ่งมักจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ และลิงก์จองบัตรอย่างชัดเจน
  5. Local Business : เนื้อหาที่มีรายละเอียดของธุรกิจท้องถิ่น อาทิ ที่ตั้ง เวลาเปิด-ปิด และเบอร์ติดต่อ

วิธีการติดตั้ง

การติดตั้ง Schema Markup ลงบนเว็บไซต์สามารถทำได้หลากหลายวิธีตามระดับความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่เลือกใช้ ดังนี้

  1. การติดตั้งโดยใช้เครื่องมือช่วยสร้าง Schema

การติดตั้งโดยใช้เครื่องมือช่วยสร้าง Schema สามารถทำได้โดยการเลือกใช้เครื่องมืออย่าง Structured Data Markup Helper ในการเลือก Schema ในรูปแบบที่ต้องการและใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการจะติดตั้ง Schema Markup ก่อนจะทำการสร้าง HTML และคัดลอก Script ที่ได้มาไปติดตั้งลงบนเว็บไซต์โดยที่ไม่ต้องลงมือเขียนโค้ดด้วยตัวเอง

  1. การติดตั้งโดยใช้โค้ด HTML โดยตรง

การติดตั้งโดยใช้โค้ด HTML โดยตรงจะเป็นการเพิ่มข้อมูล Structured Data ในรูปแบบของ JSON-LD Format เข้าไปในโค้ด HTML ของเว็บไซต์โดยตรง ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและได้รับการแนะนำจาก Google โดยตรง

  1. การติดตั้งผ่านปลั๊กอินใน WordPress

ในการติดตั้งผ่านปลั๊กอินใน WordPress ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเลือกติดตั้งปลั๊กอิน Schema & Structurd Data for WP & AMP และเลือกประเภทของที่ต้องการจะติดตั้งลงบนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ในการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

ตรวจความถูกต้อง เครื่องมือ Schema Markup ลงบนเว็บไซต์

การตรวจสอบความถูกต้อง

เมื่อได้มีการติดตั้งเครื่องมือ Schema Markup ลงบนเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานทุกคนสามารถทำการทดสอบได้ว่า การติดตั้งเครื่องมือนี้ในสายตาของ Google Bot นั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่ ? เพียงทำตามวิธีการง่าย ๆ ดังนี้

  1. เข้าเว็บไซต์ https://search.google.com/test/rich-results
  2. ใส่ URL ของหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการจะทดสอบลงไป หรือกรอกโค้ด HTML ที่มี Schema Markup
  3. เลือกปุ่ม TEST URL หรือ TEST CODE เพื่อเริ่มทำการทดสอบ
  4. ระบบจะแสดงผลการติดตั้งที่ตรวจพบบนหน้าเว็บ และข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นพร้อมคำแนะนำในการปรับปรุงแก้ไข

การวิเคราะห์ผลลัพธ์

หลังจากที่ได้ทำการติดตั้งเครื่องมือดังกล่าวลงบนเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานทุกคนก็สามารถทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์ในการทำ SEO ด้วยเครื่องมือ Schema Markup ได้ด้วยการใช้งาน Google Search Console ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยติดตามการแสดงผลได้ว่า เว็บไซต์ของคุณมีการแสดงผลแบบ Rich Snippets ในหน้าผลการค้นหาจำนวนกี่ครั้ง และมีการแสดงผลในลักษณะใดบ้าง นอกจากนี้ Google Search Console ยังช่วยให้คุณสามารถทำการตรวจสอบได้ว่า การใช้งาน Schema Markup ส่งผลต่ออัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการเลือกใช้ได้อย่างตรงจุด

จุดเด่นของการติดตั้งเครื่องมือนี้

จะเห็นได้ว่า Schema Markup เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เนื่องจากไม่เพียงช่วยทำให้ Search Engine สามารถเข้าใจเนื้อหาและบริบทต่าง ๆ บนเว็บไซต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาบนไซต์ถูกนำไปแสดงผลในรูปแบบ Rich Snippets ที่สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับหน้าเว็บไซต์ จนนำไปสู่การช่วยดึงดูดผู้ใช้งานและการช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Read More

Search Generative Experience คืออะไร ? หรือนี่คือยุคใหม่แห่ง SEO ?

Inพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้คนในยุคดิจิทัลล้วนมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยในอดีตผู้คนอาจมองว่า การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Search Engine คือหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการได้มาซึ่งข้อมูลที่ต้องการ แต่ทว่าในปัจจุบันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ต้องการพึ่งพาวิธีการค้นหาข้อมูลที่ต้องมีการ “คลิก” เพื่อดูรายละเอียดจากหลาย ๆ หน้าเว็บไซต์อีกต่อไป แต่กลับต้องการฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่าง Search Generative Experience ที่สามารถช่วยคัดกรองเนื้อหา พร้อมช่วยตอบคำถามอย่างครบถ้วนและตรงประเด็นได้ในทันทีผ่านการค้นหาบน ai แพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่าง ChatGPT ฯลฯ ที่มีระบบแตกต่างกันไป 

Search Generative Experience (SGE) หรือ Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร? 

Search Generative Experience (SGE) คือ ฟีเจอร์การค้นหาข้อมูลในรูปแบบใหม่ของ Google ที่ได้มีการนำเอาพลังของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผนวกรวมเข้ากับความสามารถในการเรียนรู้และการวิเคราะห์ข้อมูลของ Machine Learning เพื่อช่วยทำให้การแสดงผลในหน้าผลลัพธ์การค้นหา หรือ Search Engine Results Page ของ Google สามารถช่วยมอบประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลที่มีความกระชับ ตรงประเด็น และสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายมากขึ้นกว่าการค้นหาข้อมูลในรูปแบบเดิม ๆ ในขณะที่ Generative Engine Optimization (GEO) คือ ฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อการช่วยตอบสนองต่อการทำงานของ SGE โดยเฉพาะ ด้วยกลยุทธ์ในการปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กับวิธีการค้นหาในรูปแบบใหม่ ที่เน้นความกระชับ ชัดเจน และสามารถตอบคำถามของผู้ค้นหาได้อย่างแม่นยำในทันที เพื่อประโยชน์ในการช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาบนเว็ยไซต์ถูกนำไปแสดงในผลในหน้าผลลัพธ์การค้นหาที่ SGE นำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำรวจเทคโนโลยี AI 

ได้มีการนำเอา PaLM 2 ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถทำความเข้าใจภาษาที่มีความซับซ้อนได้มากกว่า 100 ภาษา อีกทั้งยังสามารถแก้โจทย์และประมวลผลข้อมูลหลาย ๆ ชุดได้ในเวลาเดียวกัน มาใช้งานร่วมกับ Search Generative Experience เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ รูปภาพ วิดีโอ ราคาสินค้า เว็บไซต์อ้างอิง หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการเปิดโอกาสให้ผู้ค้นหาสามารถพูดคุยโต้ตอบและส่งคำถามเพิ่มเติมให้กับระบบ Search Generative Experience เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกในประเด็นที่สนใจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อดีของการใช้งาน

  • ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหาข้อมูล เนื่องจากสามารถแสดงคำตอบที่กระชับ แม่นยำ และครบถ้วนได้ในทันทีที่หน้าผลลัพธ์การค้นหา
  • มาพร้อมด้วยฟังก์ชันการสนทนา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถามคำถามเพิ่มเติมหรือขอคำอธิบายเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการค้นหาได้อย่างครอบคลุม
  • ช่วยให้เปรียบเทียบข้อมูลสินค้าได้ในที่เดียว ผ่านการนำเสนอคุณสมบัติ ราคา รีวิว และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ผู้ค้นหาสามารถมองเห็นตัวเลือกและเปรียบเทียบสินค้าจากหลาย ๆ แบรนด์ได้ในทันที

ข้อจำกัดและความท้าทายในการใช้งาน

  • อาจนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อน เนื่องจาก AI อาจมีการดึงเอาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่ไม่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ได้รับการอัปเดต มาใช้ในการสรุปและนำเสนอข้อมูล
  • ยังอยู่ในช่วงทดลอง จึงอาจทำให้การทำงานของระบบยังไม่แม่นยำและสมบูรณ์แบบ จนทำให้ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่มีความซับซ้อนหรือมีความเฉพาะเจาะจงได้

ฟีเจอร์หลักที่น่าสนใจ

เครื่องมือนี้มาพร้อมด้วยฟีเจอร์หลักในการใช้งานที่จะสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการค้นหาข้อมูลให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

ผู้หญิงใช้ Search Generative Experience (SGE)

ฟีเจอร์ AI-powered snapshots 

AI-powered snapshots เป็นฟีเจอร์ใน Search Generative Experience ที่ช่วยดึงเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา อาทิ ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ แหล่งข้อมูลอ้างอิง หรือข้อมูลอื่น ๆ มาแสดงผลที่บริเวณด้านบนสุดของหน้าผลลัพธ์การค้นหาในทุกครั้ง เพื่อช่วยทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น

โหมดการสนทนา 

โหมดการสนทนาช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถามคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจได้ในทันทีเพียงแค่กดปุ่ม Ask a follow up อีกทั้งยังช่วยทำให้การค้นหาข้อมูลมีความลื่นไหลและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้นเสมือนกับการได้พูดคุยกับผู้ช่วยส่วนตัวที่เป็นมนุษย์

ประสบการณ์การค้นหาแนวตั้ง 

Vertical Experience หรือ ประสบการณ์การค้นหาแนวตั้ง เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยทำให้ผู้ใช้งาน Search Generative Experience สามารถเข้าถึงผลลัพธ์ในการค้นหาสินค้า การเปรียบเทียบราคา การดูคะแนนรีวิว รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ได้พร้อมกันหลายรายการ เพื่อการเปรียบเทียบข้อมูลและการตัดสินใจที่ง่ายมากขึ้น

ผลกระทบที่มีต่อการค้นหา

Search Generative Experience ได้ทำให้วิธีการค้นหาข้อมูลของผู้คนในปัจจุบันนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอย่างมาก เนื่องจากการแสดงผลข้อมูลที่บริเวณด้านบนสุดของหน้าผลลัพธ์การค้นหานั้นได้ช่วยทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ในรูปแบบที่มีความกระชับและเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการมีอยู่ของ Search Generative Experience ก็อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณ Traffic ที่เข้าสู่เว็บไซต์ได้เช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงการเข้าชมแบบออแกนิกและการรักษา Traffic 

แม้ว่า Search Generative Experience จะยังไม่ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจาก Google และยังไม่สามารถใช้งานในประเทศไทยได้ในขณะนี้ แต่ทว่าในอนาคตก็อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่จะทำให้เว็บไซต์ต่าง ๆ ได้รับ Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ในจำนวนที่ลดลงได้ เพราะฉะนั้นแล้วการออกแบบกลยุทธ์การทำ SEO ให้มีความสอดคล้องกับเครื่องมือนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะสามารถช่วยรักษาจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์เอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับใช้ร่วมกับกลยุทธ์การทำ SEO

การวางกลยุทธ์การทำ SEO ให้มีความสอดคล้องกับ Search Generative Experience เพื่อการรักษา Traffic ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่สามารถตอบคำถามของผู้ใช้งานได้อย่างตรงจุด ครอบคลุม และครบถ้วน ร่วมกับการเลือกใช้การนำเสนอข้อมูลแบบ Structured Data เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Featured Snippets หรือ AI-powered snapshots และทำให้เว็บไซต์ยังคงได้รับการมองเห็นบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาและไม่สูญเสีย Traffic จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

  • วิธีการปรับกลยุทธ์การตลาด

นอกจากการปรับกลยุทธ์การทำ SEO แล้วนั้น การปรับกลยุทธ์การตลาดให้มีความสอดคล้องกับ Search Generative Experience ผ่านการสร้างเนื้อหาที่กระชับและตรงประเด็นตามหลักการ N-E-E-A-T (Notability, Experience, Expertise, Authoritativeness, and Trustworthiness) รวมถึงเนื้อหาในรูปแบบรูปภาพ วิดีโอ FAQs และรีวิวที่มีความน่าสนใจและสามารถให้ข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ก็ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้ AI สามารถดึงเอาเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ไปแสดงผลในผลลัพธ์การค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งานเพื่อรักษา Traffic บนเว็บไซต์ได้ในระยะยาว

ได้ข้อมูลแม่นยำและรวดเร็ว โดยไม่ต้องอ่านหลายเว็บ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Search Generative Experience เป็นฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่ได้ก้าวเข้ามาปฏิวัติวิธีการค้นหาข้อมูลในยุคดิจิทัลไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ประโยชน์ในการช่วยทำให้การค้นหาข้อมูลมีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องคลิกอ่านข้อมูลผ่านหลาย ๆ เว็บไซต์ อีกทั้งยังแสดงผลข้อมูลได้อย่างหลากหลาย อาทิ รูปภาพ วิดีโอ และข้อมูลสินค้า เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วการปรับตัวให้เท่าทันกับ Search Generative Experience ด้วยการวางแผนสร้างเนื้อหา SEO ที่มีความกระชับ ตรงประเด็น และตอบโจทย์หลักการ N-E-E-A-T จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา Traffic และการสร้างความสำเร็จในยุคที่การค้นหาข้อมูลได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างแท้จริง

ครบจบทั้ง SEO, SGE และ GEO ในที่เดียวที่บริษัททำการตลาด Convert Digital

ที่ Convert Digital เราคือ SEO Agency (in Bangkok) ที่พร้อมให้บริการรับทำการตลาดออนไลน์ครบวงจร โดยมีความครอบคลุมทั้งในส่วนของการทำ SEO แบบดั้งเดิมที่คุณสามารถเลือกจำนวนหน้าเว็บและจำนวน keyword ได้อย่างไม่จำกัดในทุกหน้าเว็บ ตลอดจนการทำ SGE และ GEO เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโตและยืดหยัดในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ติดต่อเราวันนี้เพื่อเริ่มต้นความสำเร็จของคุณไปด้วยกันกับ Convert Digital  บริษัททำการตลาดและบริษัทรับทำ SEO ที่มีความครบวงจรและตอบโจทย์กับทุกความต้องการของคุณมากที่สุด

Read More