Customer Journey คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับการตลาด
เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า… กว่าที่คนคนหนึ่งจะกลายมาเป็นลูกค้าของธุรกิจได้นั้นจะต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง ?
หากลองมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นเราก็มักจะพบว่าเส้นทางที่ลูกค้าใช้เดินทางมาพบกับธุรกิจนั้นไม่ได้มีความเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา เพราะฉะนั้นแล้วการทำความเข้าใจกับ Customer Journey หรือเส้นทางการเดินทางของลูกค้า จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการขายและการบริการให้มีความเหมาะสมกับจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้าต้องเผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เจาะลึกความหมายของ Customer Journey
สิ่งนี้นี้เป็นแผนภาพประเภทหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการเดินทางของลูกค้า นับตั้งแต่ก่อนที่จะได้รู้จักกับธุรกิจ จนกระทั่งกลายมาเป็นลูกค้าที่ให้ความสนใจและตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้งาน และกลายมาเป็นผู้ที่เกิดความรู้สึกภักดีต่อธุรกิจในท้ายที่สุด โดยมีความครอบคลุมกับทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้าจะมีโอกาสได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย รวมถึงร้านค้าและบริการหลังการขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถออกแบบและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ในทุก Touchpoint จนนำไปสู่การช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำมากที่สุด
ขั้นตอนหลักใน Customer Journey
ขั้นตอนหลักถูกนำมาใช้ในการอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางที่ลูกค้าเดินทางมาตั้งแต่ที่ได้เริ่มต้นรู้จักกับธุรกิจ ก่อนจะกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่มีความภักดีต่อแบรนด์ ดังนี้
1. การรับรู้ (Awareness)
ในขั้นแรกของ Customer Journey ลูกค้าจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของธุรกิจ สินค้า หรือบริการได้จากการจัดกิจกรรมการตลาด อาทิ การทำโฆษณา การทำการตลาดออนไลน์ การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การเขียนบทความ หรือการบอกต่อจากคนใกล้ชิด เพราะฉะนั้นแล้ว ธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้างการรับรู้และการจดจำเกี่ยวกับแบรนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจและสร้างการจดจำในสายตาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
2. การพิจารณา (Consideration)
เมื่อลูกค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นถัดมาคือขั้นตอนของการเลือกซื้อสินค้า โดยธุรกิจจำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการออกมาอย่างโดดเด่น เพื่อช่วยทำให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาและเปรียบเทียบข้อมูลของสินค้า เกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในท้ายที่สุด
3. การซื้อสินค้า (Purchase)
เมื่อผ่านขั้นตอนของการพิจารณาแล้ว ลูกค้าจะเริ่มเข้าสู่ Customer Journey ของการซื้อสินค้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ธุรกิจจะต้องทำให้ขั้นตอนในการซื้อสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และน่าประทับใจมากที่สุด เพื่อช่วยทำให้ลูกค้าไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการซื้อสินค้าหรือเปลี่ยนไปซื้อเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจคู่แข่ง
4. การใช้ซ้ำ (Retention)
เมื่อลูกค้าได้ทำการเลือกซื้อสินค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจจำเป็นที่ต้องทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพึงพอใจในตัวสินค้ามากที่สุด ผ่านการมอบสิทธิพิเศษ การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง การติดตามผลลัพธ์ในการใช้งาน รวมถึงการให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยสร้างความประทับใจและกระตุ้นให้ลูกค้าที่กำลังอยู่ใน Customer Journey ดังกล่าวนี้อยากที่จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้ง
5. การบอกต่อ (Advocacy)
การบอกต่อเป็นขั้นสุดท้ายของ Customer Journey ที่ลูกค้าประจำจะอยากบอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อธุรกิจและสินค้า ผ่านการเขียนรีวิว การแชร์บนโซเชียลมีเดีย หรือการพูดคุยในกลุ่มเพื่อนและครอบครัว เพราะฉะนั้นแล้ว การรักษาลูกค้าในขั้นตอนนี้จึงเป็นก้าวที่สำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยทำให้ธุรกิจได้มาซึ่งลูกค้าที่มีความภักดีและอยากสนับสนุนธุรกิจอย่างจริงใจมากที่สุด
ทำไมถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ ?
เพราะนี่เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจกับเส้นทางและประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง จนนำไปสู่การช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละจุดสัมผัส (Touchpoints) ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการวิเคราะห์ยังช่วยทำให้ธุรกิจสามารถระบุปัญหาและอุปสรรคที่อาจทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกลังเลใจหรือไม่พอใจในตัวสินค้าหรือบริการได้อย่างตรงจุด จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ร่วมกับการช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
การสร้าง Customer Journey Map
การสร้าง Customer Journey Map อย่างละเอียด เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนดังนี้
- การระบุ Touchpoints
ธุรกิจควรระบุจุดสัมผัส หรือ Touchpoints ทั้งหมดที่ลูกค้าจะมีโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ อาทิ การเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ การโต้ตอบกับธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การพูดคุยถามตอบกับทีมขายหน้าร้าน รวมถึงการเข้ารับบริการหลังการขาย เนื่องจากจุดสัมผัสที่เกิดขึ้นบน Customer Journey Map เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นว่า ลูกค้ามักจะติดต่อกับธุรกิจผ่านทางช่องทางใดบ้าง และประสบการณ์ที่ได้รับจากการให้บริการในแต่ละจุดนั้นมีความราบรื่นและเป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่
- การระบุ Pain Points
หลังจากที่ได้ทำการระบุ Touchpoints เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดมา คือ การค้นหา Pain Points หรือปัญหาที่ลูกค้ามักจะพบเจอในระหว่างการเดินทางบน Customer Journey อาทิ กระบวนการสั่งซื้อสินค้าที่ซับซ้อน การตอบสนองของธุรกิจที่ล่าช้า หรือการแสดงข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนาจุดอ่อนของตนเองเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดีที่สุด
กลยุทธ์ในการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า
ธุรกิจสามารถนำเอาข้อมูลเชิงลึกจาก Customer Journey มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์เส้นทางการเดินทางของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนได้อย่างละเอียด เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจไม่เพียงสามารถปรับแต่งการให้บริการหรือการนำเสนอสินค้าให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต และเตรียมความพร้อมในการตอบสนองต่อความคาดหวังใหม่ ๆ ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำและทันเวลา จนทำให้ลูกค้าทุกคนได้รับประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดในทุกขั้นตอนของ Customer Journey
การวัดและประเมินผล
การวัดและประเมินผล Customer Journey เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำการประเมินได้ว่า กลยุทธ์ที่ได้เลือกนำมาใช้งานนั้นประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด โดยธุรกิจสามารถเลือกใช้ตัวชี้วัด อาทิ Net Promoter Score (NPS) เพื่อวัดระดับความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า หรือเลือกใช้ Customer Satisfaction Score (CSAT) และ Customer Effort Score (CES) เพื่อประเมินประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละจุดสัมผัสของเครื่องมือนี้ได้อย่างแม่นยำ จนทำให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการให้ดีมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
การใช้เทคโนโลยีในการติดตาม
โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยติดตามและปรับปรุง Customer Journey ของธุรกิจมักจะอยู่ในรูปแบบของระบบ Customer Relationship Management (CRM) ที่สามารถทำการรวบรวมข้อมูลและติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ การนำเอา AI และ Machine Learning มาใช้ประโยชน์เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก ยังช่วยทำให้ธุรกิจสามารถลดความซับซ้อนในการให้บริการและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นในอนาคต
แนวโน้มในยุคดิจิทัลปี 2025
ในปี ค.ศ. 2025 นี้ Customer Journey จะยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมและความคาดหวังของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม การนำเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถนำเอาข้อมูลและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อสร้างความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
Read More