Google Search Console คืออะไร? มารู้จักเครื่องมือฟรีตัวสำคัญในการทำ SEO ให้ไต่อันดับสูงขึ้นกัน

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันของธุรกิจออนไลน์สูงขึ้นเรื่อย ๆ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามเพราะทั้งช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์และช่วยลดค่าโฆษณาที่บริษัทต้องใช้ได้อย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อ SEO ติด ranking ที่ดี 

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจอาจจะไม่ค่อยคุ้นว่า Google Search Console คืออะไร? ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Google Search Console อย่างละเอียด พร้อมเรียนรู้วิธีการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ทั้งเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดที่กำลังทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้รับข้อมูลที่สามารถนำไปทำงานต่อได้อย่างถูกทาง

Google Search Console คืออะไร ?

Google Search Console คือเครื่องมือฟรีที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตาม วิเคราะห์ และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ได้ เครื่องมือนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับการแสดงผลของเว็บไซต์ เช่น จำนวน Impressions (คนมองเห็น) Clicks (จำนวนคลิก) Click-through-rate (CTR) Average Position (อันดับ ranking) ไปจนถึง Search Query (คำที่ผู้คนค้นหาและเจอเว็บไซต์ของคุณ) 

Google Search Console ยังสามารถช่วยวิเคราะห์ปัญหาทางเทคนิคต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรับปรุง SEO ให้ติดอันดับหน้าแรก ๆ หรือเจอเว็บไซต์อยู่ด้านบนอีกด้วย

ประโยชน์หลักของ Google Search Console

1. การติดตามและค้นหาข้อมูลมีประสิทธิภาพ

Google Search Console คือแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลด้านต่าง ๆ ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลในการค้นหาอย่างไร และมีผู้ใช้โต้ตอบกับผลการค้นหาของคุณอย่างไร เช่น 

  • จำนวนการแสดงผล (Impressions)
  • อัตราการคลิก (Click-through Rate – CTR)
  • ตำแหน่งเฉลี่ยในผลการค้นหา
  • จำนวนคลิกทั้งหมด
  • คีย์เวิร์ดที่นำผู้ใช้มาสู่เว็บไซต์

ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลในการค้นหาอย่างไร และมีผู้ใช้โต้ตอบกับผลการค้นหาของคุณอย่างไร 

2. ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค

Google Search Console ช่วยระบุปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ เช่น ปัญหาการ Crawl ของ Googlebot, ข้อผิดพลาดของ Mobile Usability, ปัญหา Schema Markup, ข้อผิดพลาดของ HTML และปัญหาการเข้าถึงหน้าเว็บ

3. การจัดการ Sitemap และ URL

Google Search Console คือตัวช่วยที่ทำให้คุณสามารถส่ง Sitemap ใหม่ให้ Google ได้ รวมถึงตรวจสอบสถานะการ Index ของ URL นอกจากนี้ยังขอให้ Google Crawl URL ใหม่ และลบ URL ที่ไม่ต้องการออกจากผลการค้นหาได้

วิธีการตั้งค่าและใช้งาน Google Search Console

เริ่มต้นใช้งานโดยเข้าสู่เว็บไซต์ Google Search Console แล้วเลือกวิธีการยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์อย่างการเพิ่ม HTML tag, การอัพโหลดไฟล์ HTML, การใช้ Google Analytics, การใช้ Google Tag Manager และการเพิ่ม DNS record

หน้าตาของ google search console

การใช้งานฟีเจอร์สำคัญ แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. การดูรายงานประสิทธิภาพ : โดยเข้าไปที่ส่วน “Performance” แล้วเลือกช่วงเวลาที่ต้องการดูข้อมูล จากนั้นก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่าง เช่น คีย์เวิร์ดยอดนิยม, หน้าเว็บที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด, ประเทศที่มีการค้นหามากที่สุด หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึง
  2. การตรวจสอบ Core Web Vitals : Google Search Console คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถดูรายงาน Core Web Vitals และตรวจสอบค่า Largest Contentful Paint (LCP), First Input Delay (FID) และ Cumulative Layout Shift (CLS)
  3. ระบุหน้าเว็บที่ต้องการการปรับปรุง : สำหรับกลยุทธ์การใช้ Google Search Console เพื่อปรับปรุง SEO เราขอแบ่งดังนี้

– การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด : สามารถตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่นำ traffic มาสู่เว็บไซต์ และค้นหาโอกาสใหม่ ๆ จากคีย์เวิร์ดที่มี Impressions สูงแต่ CTR ต่ำ นอกจากนี้ยังปรับปรุง Meta Title และ Meta Description เพื่อเพิ่ม CTR

– การปรับปรุงเนื้อหา : Google Search Console คือแหล่งข้อมูลที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้ข้อมูลเพื่อระบุเนื้อหาที่ต้องปรับปรุง หรือหากต้องการอัปเดตเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพต่ำ นอกจากนี้ยังสร้างเนื้อหาใหม่ตามความต้องการของผู้ใช้ได้อีกด้วย

– การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค : ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด 404 รวมถึงปรับปรุง Mobile Usability และแก้ไขปัญหา Schema Markup

การใช้ Google Search Console ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

  1. การใช้ API เพื่อระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ : ความสามารถของ API ใน Google Search Console นั้นจะปลดล็อคความเป็นไปได้ในการทำงานอัตโนมัติที่ทรงพลัง ได้แก่
  • การผสานข้อมูลกับระบบวิเคราะห์อื่น : เชื่อมต่อข้อมูล Google Search Console กับการวิเคราะห์ที่มีอยู่เพื่อข้อมูลเชิงลึกด้านประสิทธิภาพที่ครอบคลุม
  • ระบบรายงานอัตโนมัติ : สร้างรายงานตามกำหนดเวลาที่เน้นเมตริกสำคัญและการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแทรกแซงด้วยตนเอง
  • การติดตามแบบเรียลไทม์ : ใช้ระบบที่แจ้งเตือนคุณทันทีเมื่ออันดับความผันผวนหรือปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญ
  1. จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น : ด้วยความที่ Google Search Console คือเครื่องมือที่ไม่สามารถทำให้ไต่อันดับได้โดยตรง เพียงแต่สามารถดูข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้เหล่าคนทำ SEO สามารถทำในทิศทางที่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อภาพรวมที่สมบูรณ์ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นเมื่อใช้ Google Search Console ร่วมกับเครื่องมือเหล่านี้
  • Google Analytics : เชื่อมโยงข้อมูลการค้นหากับพฤติกรรมผู้ใช้เว็บไซต์เพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น
  • Google Ads : ปรับข้อมูลการค้นหาแบบออร์แกนิกและแบบชำระเงินให้สอดคล้องกันเพื่อกลยุทธ์การตลาดแบบองค์รวม
  • เครื่องมือ SEO ระดับมืออาชีพ : เพิ่มข้อมูลของ Google ด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกจากแพลตฟอร์ม SEO เฉพาะทาง เช่น Ahrefs, SEMrush, Moz Pro, Screaming Frog, SE Ranking และ Serpstat

ข้อจำกัดในการแสดงข้อมูล

  1. ข้อมูลไม่แสดงผลแบบเรียลไทม์ : เนื่องจากข้อมูลมักจะล่าช้า 2-3 วัน ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทันที และข้อมูลบางส่วนอาจอัปเดตเพียงสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งหากต้องการข้อมูลที่เรียลไทม์ควรดูวันที่อัปเดตล่าสุดในแต่ละส่วนอีกครั้ง
  2. ข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลย้อนหลัง : ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะถูกเก็บไว้ย้อนหลังได้เพียง 16 เดือน หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเกินช่วงเวลานั้นจะไม่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบได้
  3. ข้อจำกัดในการวิเคราะห์ : ไม่สามารถดูข้อมูลคู่แข่งโดยตรงได้ ต่างจากเครื่องมือ SEO แบบเสียเงิน และไม่มีการแสดงผลการติดตามอันดับคีย์เวิร์ดแบบละเอียด (จะแสดงเพียงตำแหน่งเฉลี่ยเท่านั้น) ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ backlink อย่างละเอียด เช่น คุณภาพลิงก์ anchor text
  4. ความไม่สม่ำเสมอของข้อมูล : บางครั้งข้อมูลอาจไม่สอดคล้องกับเครื่องมือ Google อื่น ๆ และการคำนวณตำแหน่งเฉลี่ยอาจทำให้เข้าใจผิดได้ในบางกรณี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของ Google อาจส่งผลให้ข้อมูลบางส่วนเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการแจ้งเตือน

แม้ Google Search Console คือเครื่องมือที่มีความสำคัญสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าค่อนข้างมีข้อจำกัดด้านข้อมูลสำคัญ ๆ ที่ไม่ครอบคลุม จึงอาจทำให้การวิเคราะห์คลาดเคลื่อนได้หลายจุด ดังนั้นหากรู้สึกว่ายุ่งยากในการใช้เครื่องนี้นี้สำหรับทำ SEO ก็ให้บริษัทเราเป็นที่ปรึกษาได้เสมอ เพราะนอกจาก Google Search Console แล้วเรายังมีโปรแกรม Paid SEO Tool อื่น ๆ ที่ให้ข้อมูลลึกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลคู่แข่งได้ทุกเว็บไซต์เพื่อวางแผน SEO ให้ดีขึ้นแบบไร้ข้อจำกัด

Read More

Google Analytics คืออะไร จำเป็นอย่างไรสำหรับธุรกิจ E-commerce ?

ในยุคปัจจุบันที่ธุรกิจ E-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว การมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และประเมินผลเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ วันนี้เราจึงอยากชวนมาทำความรู้จักว่า Google Analytics คืออะไร ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ระหว่างทำธุรกิจให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไรบ้าง และสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างรายได้มากขึ้นได้จริงหรือไม่ มาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

Google Analytics คืออะไร ?

Google Analytics คือ เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจข้อมูลเชิงลึกของผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมการใช้งาน และประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ได้มากขึ้น ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Conversion ได้อย่างละเอียด 

โดยปัจจุบัน Google Analytics อัปเกรดเวอร์ชันล่าสุดเป็น Google Analytics 4 หรือ GA4 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ของ GA4 จะช่วยให้ผู้ประกอบการ วิเคราะห์ข้อมูล E-commerce ได้ลึกซึ้งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

Predictive Metrics

GA4 ใช้ AI ในการคาดการณ์พฤติกรรมผู้ใช้ในอนาคต เช่น Purchase Probability โอกาสที่ผู้ใช้จะซื้อสินค้าในอีก 7 วัน Churn Probability โอกาสที่ผู้ใช้จะไม่กลับมาที่เว็บไซต์ในอีก 7 วัน และ Revenue Prediction รายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากผู้ใช้ในอีก 28 วัน ฟังก์ชันนี้ไม่มีอยู่ในเวอร์ชันเก่าและมักไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ การที่เราสามารถทราบแนวโน้มสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก็จะช่วยให้เราวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

Engagement Metrics ใหม่

แทนที่จะใช้ Bounce Rate แบบเดิม GA4 ใช้ Engagement Rate ที่วัดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยพิจารณาจากการอยู่บนเว็บไซต์นานกว่า 10 วินาที และการดูมากกว่า 1 หน้า รวมถึงการเกิด Conversion Event ต่าง ๆ ซึ่งอาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการติด Conversion Tracking ต่าง ๆ ให้ถูกต้องเหมาะสม เช่น การ add line, การส่งฟอร์ม, add to cart ไปจนถึง purchase เนื่องจากโดยมาก marketing in-house หรือ owner มักจะไม่คุ้นเคยกับการติดตั้ง conversion tracking ในลักษณะดังกล่าว

Funnel Analysis

สามารถสร้างและวิเคราะห์ Funnel แบบกำหนดเองได้ เพื่อดูว่าผู้ใช้หลุดออกจากกระบวนการซื้อสินค้าตรงขั้นตอนใด ด้วย Funnel Analysis คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าลูกค้าหลุดออกจากกระบวนการซื้อสินค้าในขั้นตอนไหน เช่น หน้ากรอกที่อยู่จัดส่ง ทำให้คุณสามารถปรับปรุงหน้านั้นให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มอัตราการซื้อสินค้าสำเร็จได้

Path Analysis

วิเคราะห์เส้นทางการเข้าชมของผู้ใช้ ทำให้เห็นว่าผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์จากช่องทางใด และไปที่หน้าใดต่อ

Segment Builder

สร้างกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมหรือคุณลักษณะได้อย่างละเอียด เช่น “ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้ามากกว่า 1 ครั้งในเดือนที่ผ่านมา”

User-ID

ติดตามผู้ใช้ข้ามอุปกรณ์และแพลตฟอร์มได้ดีขึ้น ทำให้เห็นภาพรวมของ Customer Journey

BigQuery Export

ส่งออกข้อมูลดิบไปยัง BigQuery เพื่อการวิเคราะห์ขั้นสูงหรือเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ (มีให้ใช้ฟรีในเวอร์ชันฟรีของ GA4)

ตัวอย่างหน้าตาของ Google Analytics

ทำไมธุรกิจ E-commerce ต้องใช้ Google Analytics ?

  • เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า : เพราะ Google Analytics ช่วยให้คุณทราบว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเป็นใครและพวกเขาทำอะไรบนเว็บไซต์บ้าง หรือรู้ที่มาว่ามาจากช่องทางไหน แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับแต่งเนื้อหาและออกแบบเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี
  • วัดผลแคมเปญการตลาด : คุณสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น SEO  โฆษณา Google Ads หรือโซเชียลมีเดีย ข้อมูลนี้ช่วยให้คุณทราบว่าควรลงทุนในช่องทางไหนมากขึ้นหรือน้อยลง รวมถึงทำให้การใช้งบประมาณการตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ : แน่นอนว่า Google Analytics คือเครื่องมือที่ทำให้เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์ในหลายจุด เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์และอัตราการตีกลับ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณระบุปัญหาทางเทคนิคและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีขึ้น
  • ช่วยเพิ่ม Conversion Rate : คุณสามารถตั้งเป้าหมายใน Google Analytics ได้ เช่น การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลดเอกสารหรือการซื้อสินค้า ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้ใช้กระทำสิ่งที่คุณต้องการมากน้อยแค่ไหน

Conversion Tracking เกี่ยวข้องกับ Google Analytics อย่างไร

แม้ Google Analytics คือเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจ E-commerce หลายเจ้าประสบความสำเร็จด้วยการนำข้อมูลเชิงลึก แต่นอกจาก Google Analytics แล้ว อีกเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของธุรกิจ E-commerce คือ Conversion Tracking ซึ่งทำงานร่วมกับ Google Analytics หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเราไม่สามารถใช้ Google Analytics เพียงอย่างเดียวได้ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัวอื่นร่วมด้วย เช่น Google Analytics, Facebook Pixel, LinkedIn Insight Tag และ Google Ads Conversion Tracking โดยการวัดผล conversion เหล่านี้จะช่วยซัพพอร์ตสิ่งที่เราจะได้จากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลการสั่งซื้อ, รายชื่อลูกค้าใหม่, จำนวนคนที่สมัครสมาชิกหรือการลงทะเบียนกรอกแบบฟอร์ม ทำให้สามารถติดตามกระบวนการชำระเงินตั้งแต่ต้นจนจบ ระบุจุดที่ลูกค้าออกจากกระบวนการสั่งซื้อ และปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินให้ราบรื่นยิ่งขึ้นได้นั่นเอง

Conversion Tracking คืออะไร ?

เครื่องมือที่สำคัญอีกหนึ่งตัวคือ Conversion Tracking ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตามและวัดผลกิจกรรมที่ผู้ใช้ทำหลังจากเห็นโฆษณา โดยข้อมูลที่ได้จะถูกส่งไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Facebook Google หรือ LINE ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หลักการทำงานของ Conversion Tracking

  1. การติดตั้ง : ติดตั้งชุดคำสั่งบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เพื่อระบุตัวตนผู้ใช้และติดตามพฤติกรรมบนหน้าต่าง ๆ
  2. การติดตาม : เมื่อมี Conversion เกิดขึ้น ตัวชุดคำสั่งจะบันทึกข้อมูลและส่งไปยังระบบวิเคราะห์
  3. การประมวลผล : ระบบวิเคราะห์จะประมวลผลข้อมูล เพื่อทำรายงานและปรับปรุงเนื้อหาโฆษณาต่อไป

การติดตั้ง Conversion Tracking

ก่อนที่จะเริ่มลงโฆษณาแบบ Conversion เจ้าของเว็บไซต์จะต้องติดตั้งระบบ Conversion Tracking ซึ่งสามารถทำได้โดยการนำโค้ดจากแพลตฟอร์มโฆษณาที่ต้องการมาใส่ในเว็บไซต์ โดยระบบนี้จะช่วยในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์มาประมวลผล ทั้งนี้ผู้ใช้แพลตฟอร์ม LnwShop Pro สามารถติดตั้ง Conversion Tracking ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเติม เนื่องจากระบบได้มีการเตรียมโค้ดไว้รองรับแล้ว

ทั้งนี้ ในการติด tracking หากเราทำอย่างครบถ้วน ก็จะสามารถเห็นยอดรวม Revenue ได้ว่ามาจากช่องทางไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็น SEO, Google Ads, Social ฯลฯ แต่หากหลายคนยังไม่เข้าใจไม่อยากเสียเวลาวิเคราะห์เองให้วุ่นวายก็สามารถมาปรึกษาทีมงานของ Convert Digital ได้ เพราะเราเชี่ยวชาญด้านการตลาด ดูแลแคมเปญโฆษณา รวมถึงการทำเว็บไซต์ให้ติด SEO จากประสบการณ์ดูแลลูกค้าธุรกิจชั้นนำที่หลากหลายให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวัง

Read More

Customer Journey คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับการตลาด

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า… กว่าที่คนคนหนึ่งจะกลายมาเป็นลูกค้าของธุรกิจได้นั้นจะต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง ?

หากลองมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นเราก็มักจะพบว่าเส้นทางที่ลูกค้าใช้เดินทางมาพบกับธุรกิจนั้นไม่ได้มีความเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา เพราะฉะนั้นแล้วการทำความเข้าใจกับ Customer Journey หรือเส้นทางการเดินทางของลูกค้า จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการขายและการบริการให้มีความเหมาะสมกับจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้าต้องเผชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

เจาะลึกความหมายของ Customer Journey

สิ่งนี้นี้เป็นแผนภาพประเภทหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการเดินทางของลูกค้า นับตั้งแต่ก่อนที่จะได้รู้จักกับธุรกิจ จนกระทั่งกลายมาเป็นลูกค้าที่ให้ความสนใจและตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้งาน และกลายมาเป็นผู้ที่เกิดความรู้สึกภักดีต่อธุรกิจในท้ายที่สุด โดยมีความครอบคลุมกับทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้าจะมีโอกาสได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย รวมถึงร้านค้าและบริการหลังการขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถออกแบบและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ในทุก Touchpoint จนนำไปสู่การช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำมากที่สุด

ขั้นตอนหลักใน  Customer Journey

ขั้นตอนหลักใน Customer Journey

ขั้นตอนหลักถูกนำมาใช้ในการอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางที่ลูกค้าเดินทางมาตั้งแต่ที่ได้เริ่มต้นรู้จักกับธุรกิจ ก่อนจะกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่มีความภักดีต่อแบรนด์ ดังนี้ 

1. การรับรู้ (Awareness)

ในขั้นแรกของ Customer Journey ลูกค้าจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของธุรกิจ สินค้า หรือบริการได้จากการจัดกิจกรรมการตลาด อาทิ การทำโฆษณา การทำการตลาดออนไลน์ การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การเขียนบทความ หรือการบอกต่อจากคนใกล้ชิด เพราะฉะนั้นแล้ว ธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้างการรับรู้และการจดจำเกี่ยวกับแบรนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจและสร้างการจดจำในสายตาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

2. การพิจารณา (Consideration)

เมื่อลูกค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นถัดมาคือขั้นตอนของการเลือกซื้อสินค้า โดยธุรกิจจำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการออกมาอย่างโดดเด่น เพื่อช่วยทำให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาและเปรียบเทียบข้อมูลของสินค้า เกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในท้ายที่สุด

3. การซื้อสินค้า (Purchase)

เมื่อผ่านขั้นตอนของการพิจารณาแล้ว ลูกค้าจะเริ่มเข้าสู่ Customer Journey ของการซื้อสินค้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ธุรกิจจะต้องทำให้ขั้นตอนในการซื้อสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และน่าประทับใจมากที่สุด เพื่อช่วยทำให้ลูกค้าไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการซื้อสินค้าหรือเปลี่ยนไปซื้อเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจคู่แข่ง

4. การใช้ซ้ำ (Retention)

เมื่อลูกค้าได้ทำการเลือกซื้อสินค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจจำเป็นที่ต้องทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพึงพอใจในตัวสินค้ามากที่สุด ผ่านการมอบสิทธิพิเศษ การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง การติดตามผลลัพธ์ในการใช้งาน รวมถึงการให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยสร้างความประทับใจและกระตุ้นให้ลูกค้าที่กำลังอยู่ใน Customer Journey ดังกล่าวนี้อยากที่จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้ง

5. การบอกต่อ (Advocacy)

การบอกต่อเป็นขั้นสุดท้ายของ Customer Journey ที่ลูกค้าประจำจะอยากบอกเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อธุรกิจและสินค้า ผ่านการเขียนรีวิว การแชร์บนโซเชียลมีเดีย หรือการพูดคุยในกลุ่มเพื่อนและครอบครัว เพราะฉะนั้นแล้ว การรักษาลูกค้าในขั้นตอนนี้จึงเป็นก้าวที่สำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยทำให้ธุรกิจได้มาซึ่งลูกค้าที่มีความภักดีและอยากสนับสนุนธุรกิจอย่างจริงใจมากที่สุด

ทำไมถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ ?

เพราะนี่เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจกับเส้นทางและประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง จนนำไปสู่การช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละจุดสัมผัส (Touchpoints) ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการวิเคราะห์ยังช่วยทำให้ธุรกิจสามารถระบุปัญหาและอุปสรรคที่อาจทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกลังเลใจหรือไม่พอใจในตัวสินค้าหรือบริการได้อย่างตรงจุด จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ร่วมกับการช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

การสร้าง Customer Journey Map

การสร้าง Customer Journey Map อย่างละเอียด เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนดังนี้

  • การระบุ Touchpoints

ธุรกิจควรระบุจุดสัมผัส หรือ Touchpoints ทั้งหมดที่ลูกค้าจะมีโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ อาทิ การเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ การโต้ตอบกับธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การพูดคุยถามตอบกับทีมขายหน้าร้าน รวมถึงการเข้ารับบริการหลังการขาย เนื่องจากจุดสัมผัสที่เกิดขึ้นบน Customer Journey Map เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นว่า ลูกค้ามักจะติดต่อกับธุรกิจผ่านทางช่องทางใดบ้าง และประสบการณ์ที่ได้รับจากการให้บริการในแต่ละจุดนั้นมีความราบรื่นและเป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่

  • การระบุ Pain Points

หลังจากที่ได้ทำการระบุ Touchpoints เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดมา คือ การค้นหา Pain Points หรือปัญหาที่ลูกค้ามักจะพบเจอในระหว่างการเดินทางบน Customer Journey อาทิ กระบวนการสั่งซื้อสินค้าที่ซับซ้อน การตอบสนองของธุรกิจที่ล่าช้า หรือการแสดงข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนาจุดอ่อนของตนเองเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างดีที่สุด

กลยุทธ์ในการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

ธุรกิจสามารถนำเอาข้อมูลเชิงลึกจาก Customer Journey มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์เส้นทางการเดินทางของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนได้อย่างละเอียด เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ธุรกิจไม่เพียงสามารถปรับแต่งการให้บริการหรือการนำเสนอสินค้าให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต และเตรียมความพร้อมในการตอบสนองต่อความคาดหวังใหม่ ๆ ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำและทันเวลา จนทำให้ลูกค้าทุกคนได้รับประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดในทุกขั้นตอนของ Customer Journey

การวัดและประเมินผล

การวัดและประเมินผล Customer Journey เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถทำการประเมินได้ว่า กลยุทธ์ที่ได้เลือกนำมาใช้งานนั้นประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด โดยธุรกิจสามารถเลือกใช้ตัวชี้วัด อาทิ Net Promoter Score (NPS) เพื่อวัดระดับความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า หรือเลือกใช้ Customer Satisfaction Score (CSAT) และ Customer Effort Score (CES) เพื่อประเมินประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละจุดสัมผัสของเครื่องมือนี้ได้อย่างแม่นยำ จนทำให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการให้ดีมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

การใช้เทคโนโลยีในการติดตาม

โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยติดตามและปรับปรุง Customer Journey ของธุรกิจมักจะอยู่ในรูปแบบของระบบ Customer Relationship Management (CRM) ที่สามารถทำการรวบรวมข้อมูลและติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ การนำเอา AI และ Machine Learning มาใช้ประโยชน์เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก ยังช่วยทำให้ธุรกิจสามารถลดความซับซ้อนในการให้บริการและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นในอนาคต

แนวโน้มในยุคดิจิทัลปี 2025

ในปี ค.ศ. 2025 นี้ Customer Journey จะยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมและความคาดหวังของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม การนำเอาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถนำเอาข้อมูลและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อสร้างความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Read More

Schema Markup สำคัญต่อ SEO อย่างไร ?

ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ยังคงให้ความสำคัญกับการค้นหาสินค้าและบริการต่าง ๆ ผ่าน Search Engine กันมาอย่างต่อเนื่อง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การทำ SEO (Search Engine Optimization) ไม่เพียงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่สามารถช่วยผลักดันให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างการมองเห็นในโลกออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เครื่องมือ Schema Markup จึงได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถยกระดับการทำ SEO ของเว็บไซต์ให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแท้จริง

Schema Markup คืออะไร ?

Schema Markup เป็นโค้ดที่มีความยาวเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดชุดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้ติดตั้งเป็นส่วนเสริมลงบนหน้าเว็บไซต์เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google, Bing และ Yahoo ไม่เพียงสามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาเหล่านี้สามารถดึงเอาข้อมูลที่มีประโยชน์บนหน้าเว็บไซต์ไปแสดงผลบนหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา (SERP) จนทำให้เว็บไซต์มีแนวโน้มที่จะติดอันดับที่สูงขึ้นและสามารถดึงดูด Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ได้มากขึ้นตามไปด้วย

ทำไมถึงสำคัญต่อ SEO ?

เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยทำให้ Google สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์มีความโดดเด่นและสามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์

Schema Markup เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยทำให้ Google Bot ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google สามารถทำความเข้าใจกับองค์ประกอบและเนื้อหาต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ด้วยการจัดรูปแบบโครงสร้างของข้อมูลอย่างเป็นระบบและระเบียบ จนนำไปสู่การช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับที่มากยิ่งขึ้นสูงขึ้นบนหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา (SERP) 

ช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR)

ไม่เพียงช่วยทำให้ข้อมูลบนเว็บไซต์มีความโดดเด่นในสายตาของ Search Engine มากยิ่งขึ้น แต่ยังช่วยทำให้ข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์สามารถแสดงผลในรูปแบบ Rich Snippets อาทิ การแสดงคะแนนรีวิว รูปภาพ หรือคำถามที่พบบ่อย ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรู้สึกสนใจและอยากที่จะคลิกเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น จนทำให้อัตราการคลิกและปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ประเภทของ Schema Markup

  1. Article : เนื้อหาที่มีลักษณะเป็นบทความ อาทิ ข่าว บล็อกโพสต์ หรือเนื้อหาที่มีสาระความรู้ที่น่าสนใจ
  2. Product : เนื้อหาที่ใช้แสดงรายละเอียดของสินค้า อาทิ ชื่อสินค้า ราคา และคะแนนรีวิว
  3. FAQ : เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำถามและคำตอบที่พบบ่อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลแบบ Rich Results ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. Event : เนื้อหาที่เกี่ยวกับงานแสดงหรือกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ คอนเสิร์ต การประชุม หรือเวิร์กชอป ซึ่งมักจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ และลิงก์จองบัตรอย่างชัดเจน
  5. Local Business : เนื้อหาที่มีรายละเอียดของธุรกิจท้องถิ่น อาทิ ที่ตั้ง เวลาเปิด-ปิด และเบอร์ติดต่อ

วิธีการติดตั้ง

การติดตั้ง Schema Markup ลงบนเว็บไซต์สามารถทำได้หลากหลายวิธีตามระดับความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่เลือกใช้ ดังนี้

  1. การติดตั้งโดยใช้เครื่องมือช่วยสร้าง Schema

การติดตั้งโดยใช้เครื่องมือช่วยสร้าง Schema สามารถทำได้โดยการเลือกใช้เครื่องมืออย่าง Structured Data Markup Helper ในการเลือก Schema ในรูปแบบที่ต้องการและใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการจะติดตั้ง Schema Markup ก่อนจะทำการสร้าง HTML และคัดลอก Script ที่ได้มาไปติดตั้งลงบนเว็บไซต์โดยที่ไม่ต้องลงมือเขียนโค้ดด้วยตัวเอง

  1. การติดตั้งโดยใช้โค้ด HTML โดยตรง

การติดตั้งโดยใช้โค้ด HTML โดยตรงจะเป็นการเพิ่มข้อมูล Structured Data ในรูปแบบของ JSON-LD Format เข้าไปในโค้ด HTML ของเว็บไซต์โดยตรง ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและได้รับการแนะนำจาก Google โดยตรง

  1. การติดตั้งผ่านปลั๊กอินใน WordPress

ในการติดตั้งผ่านปลั๊กอินใน WordPress ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเลือกติดตั้งปลั๊กอิน Schema & Structurd Data for WP & AMP และเลือกประเภทของที่ต้องการจะติดตั้งลงบนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ในการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

ตรวจความถูกต้อง เครื่องมือ Schema Markup ลงบนเว็บไซต์

การตรวจสอบความถูกต้อง

เมื่อได้มีการติดตั้งเครื่องมือ Schema Markup ลงบนเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานทุกคนสามารถทำการทดสอบได้ว่า การติดตั้งเครื่องมือนี้ในสายตาของ Google Bot นั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่ ? เพียงทำตามวิธีการง่าย ๆ ดังนี้

  1. เข้าเว็บไซต์ https://search.google.com/test/rich-results
  2. ใส่ URL ของหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการจะทดสอบลงไป หรือกรอกโค้ด HTML ที่มี Schema Markup
  3. เลือกปุ่ม TEST URL หรือ TEST CODE เพื่อเริ่มทำการทดสอบ
  4. ระบบจะแสดงผลการติดตั้งที่ตรวจพบบนหน้าเว็บ และข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นพร้อมคำแนะนำในการปรับปรุงแก้ไข

การวิเคราะห์ผลลัพธ์

หลังจากที่ได้ทำการติดตั้งเครื่องมือดังกล่าวลงบนเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานทุกคนก็สามารถทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์ในการทำ SEO ด้วยเครื่องมือ Schema Markup ได้ด้วยการใช้งาน Google Search Console ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยติดตามการแสดงผลได้ว่า เว็บไซต์ของคุณมีการแสดงผลแบบ Rich Snippets ในหน้าผลการค้นหาจำนวนกี่ครั้ง และมีการแสดงผลในลักษณะใดบ้าง นอกจากนี้ Google Search Console ยังช่วยให้คุณสามารถทำการตรวจสอบได้ว่า การใช้งาน Schema Markup ส่งผลต่ออัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการเลือกใช้ได้อย่างตรงจุด

จุดเด่นของการติดตั้งเครื่องมือนี้

จะเห็นได้ว่า Schema Markup เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เนื่องจากไม่เพียงช่วยทำให้ Search Engine สามารถเข้าใจเนื้อหาและบริบทต่าง ๆ บนเว็บไซต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาบนไซต์ถูกนำไปแสดงผลในรูปแบบ Rich Snippets ที่สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับหน้าเว็บไซต์ จนนำไปสู่การช่วยดึงดูดผู้ใช้งานและการช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Read More

GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร ? พร้อมวิธีการทำ SEO เพื่อ AI เบื้องต้น

การก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการสื่อสาร การทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้กระทั่งการค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นแล้ว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้การทำ GEO (Generative Engine Optimization) หรือ กลยุทธ์การสร้างเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับเครื่องมือการค้นหาที่มีการขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบ AI จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาบนเว็บไซต์ของคุณมีความสอดรับกับระบบ AI อัจฉริยะ ที่สามารถสร้างและนำเสนอข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาได้แบบเรียลไทม์

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร ?

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์ใหม่ในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ที่ถูกพูดถึงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 โดยการทำ GEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาดิจิทัลที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง YouTube, Facebook Page และอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกับเครื่องมือค้นหาที่มีการทำงานร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า AI Generative Engines เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสและความเป็นไปได้ที่ชื่อของธุรกิจหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณจะมาปรากฏอยู่ในคำตอบของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Bing Chat หรือ Google SGE

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) มีความสำคัญอย่างไร ?

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า การก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อรูปแบบและวิธีการค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันนี้ โดยจะเห็นได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นได้หันมาใช้งานระบบ AI Search เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการกันมากยิ่งขึ้น จนเป็นผลทำให้ปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกของหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นแล้ว การทำ GEO (Generative Engine Optimization) จึงได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถมองเห็นเนื้อหาหรือความเป็นตัวตนที่ธุรกิจต้องการจะนำเสนอออกมาในการค้นหาข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไขข้อสงสัย การทำ GEO (Generative Engine Optimization) แตกต่างจากการทำ SEO อย่างไร ?

แม้ว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) จะมีวัตถุประสงค์หลักที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในแง่มุมของการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการค้นพบเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย แต่ทว่าการทำ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับระบบ Algorithm ของ Search Engines เพื่อเป้าหมายในการปรับปรุงอันดับของหน้าเว็บไซต์ที่แสดงผลในการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERP) ให้ดียิ่งขึ้นเป็นสำคัญ ในขณะที่การทำ GEO (Generative Engine Optimization) นั้นจะให้ความสำคัญกับการปรับแต่งเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบการตอบคำถามของ AI และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ถามได้อย่างแท้จริง

เจาะลึกเทคนิคการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เพื่อ AI แบบเบื้องต้น

การทำ SEO มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์สามารถเข้าถึงระบบการค้นหาของ AI และสามารถแสดงผลเพื่อช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหาได้อย่างแท้จริง ซึ่งกลยุทธ์สำหรับการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เพื่อ AI นั้นก็มาพร้อมด้วยรายละเอียดที่คุณสามารถทำตามได้แบบเบื้องต้น ดังนี้

การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา SEO

สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) คือ การสร้างเนื้อหาที่มีความถูกต้อง ครอบคลุม ละเอียด และมีความเชื่อถือ ร่วมกับการใส่ข้อมูลอ้างอิงของผู้เขียนและเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์อย่างชัดเจน เพื่อแสดงให้ระบบ Generative Engines สังเกตเห็นได้ว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ อย่างแท้จริง

การสร้างเนื้อหาที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย

โดยทั่วไปแล้วระบบ Generative Engines จะมีนำเอาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) มาใช้ประโยชน์ในการช่วยสังเคราะห์และสรุปรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านั้นไปแสดงผลในรูปแบบของคำตอบให้กับผู้ที่ซักถาม เพราะฉะนั้นแล้ว การสร้างเนื้อหาที่ระบบ AI จะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้การทำ SEO และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์

Schema Markup เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชิ้นสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์จะช่วยทำให้ Google Bot รวมถึง Generative AI สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนทำให้เว็บไซต์มีโอกาสที่จะปรากฏอยู่ในคำตอบของ AI ที่มากขึ้นตามไปด้วย

สรุป  GEO (Generative Engine Optimization)

อนาคตของการทำ SEO ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี โดยจะเห็นได้ว่าการทำ SEO ในอดีตจะมุ่งเน้นไปที่การให้ความสำคัญกับการใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ ร่วมกับการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สามารถดึงดูด Search Engine Crawlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทว่าการทำ SEO ในปัจจุบันนี้กลับมีการมุ่งเน้นไปที่การผสมผสานเทคนิคในการทำ SEO แบบดั้งเดิม เข้ากับแนวทางในการสร้างการตอบสนองของ Generative AI เพื่อช่วยทำให้ผลลัพธ์ของการทำ SEO มีความสอดคล้องอนาคตที่ถูกขับเคลื่อนด้วย AI และสามารถบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด หวังบทความจาก convertdigital นี้จะช่วยให้คุณรู้จัก GEO มากขึ้น

References

Read More

Backlink คืออะไร วิธีการทำ Backlink ที่ดีทำอย่างไร?

Backlink คือ “ส่วนหนึ่ง” ของการทำการตลาด “SEO” (Off-Page SEO) ในที่นี้ใช้คำว่า “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้น เพราะไม่ใช่ทั้งหมดของการทำ “SEO” แต่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับการทำการตลาดรูปแบบนี้ แต่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมันยังสามารถใช้องค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อทำให้เนื้อหาหรือ Content ของเราติดอันดับบน Google ด้วยวิธีอื่น ๆ ได้

Backlink คืออะไร?

Backlink คือ ลิงก์ที่ส่งมาจากเว็บไซต์ต้นทางเพื่อส่งการเข้าถึงมายังหน้าเว็บไซต์ของเรา หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการ “สร้างความเชื่อมโยง” จากเว็บไซต์หนึ่งมาถึงเว็บไซต์ของเรา เป็นการแปะลิงก์สำหรับการเข้าถึงแบบอัตโนมัติมายังเว็บไซต์ของเรา เสมือนเป็นการโฆษณาแฝงแบบเนียน ๆ เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้นและกระตุ้นผลลัพธ์สำหรับคนที่อยากอ่านบทเฉลยของ Content หรือเนื้อหานั้น ๆ เช่น เรากำลังอ่านเนื้อหาของเว็บไซต์หนึ่งอยู่ และเว็บไซต์นี้ได้แปะลิงก์เนื้อหาเพิ่มเติมหรือเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันให้เราสามารถคลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ เป็นการสร้างความเชื่อมโยงแบบเนียน ๆ เพื่อให้เข้าถึงเว็บไซต์ที่ 2 ยิ่งเว็บไซต์เรามี Backlink มาก ก็จะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์เราติดอันดับดี เพราะ Google มองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงมาจากเว็บไซต์ข้างนอก

Digital Marketing Agency in Bangkok SEO Search Engine Optimization Overall
Digital Marketing Agency in Bangkok SEO Search Engine Optimization Masthead

ประเภทของ Backlink

1. “Natural” Editorial Links – เป็นลิงก์ที่ได้จากการแชร์ การอ้างอิงจากบุคคลอื่นกลับมาที่เว็บไซต์เรา การที่จะได้ลิงก์แบบนี้มาได้นั้น คุณภาพของบทความเราต้องดีถึงขนาดได้รับการยอมรับจากผู้อ่าน ยิ่งเว็บไซต์เรามีคนเข้ามาดูมาก ๆ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือ และอาจจะทำให้เราติดอันดับต้น ๆ บน Google การได้ลิงก์นี้มาเราไม่ต้องเสียเงินสักบาท แต่อาจต้องใช้เวลา และต้องควบคุมคุณภาพของบทความให้โดนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เช่น

  • คู่มือเช็กรถเบื้องต้นด้วยตัวเองฉบับง่าย
  • 20 คาเฟ่สุดชิคในเชียงใหม่ ห้ามพลาด!
  • 50 ซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวนสอบสวน
  • 20 ร้านชาบูสุดเด็ดในกรุงเทพฯ

2. Manual Link Building – เป็นลิงก์ที่เราสร้างขึ้นมาเองแล้วนำไปกระจายตามที่ต่าง ๆ เราสามารถเริ่มจาก Owned Assets ก่อน เช่น บน Social Media, Blogs, Youtube, Google My Business หรือจะไปฝากตามเว็บไซต์ Directory ซึ่งแบบนี้คุณไม่ต้องเสียเงิน แต่ก็จะมีอีกวิธี คือ การจ่ายเงินซื้อลิงก์ โดยการติดต่อเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์เหล่านั้นช่วยเขียนบทความใหม่แล้วทำ Backlink กลับมาโดยคุณอาจจะระบุ ‘คีย์เวิร์ด’ หรือตำแหน่งในบทความให้ทำลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์คุณได้ การทำแบบนี้ มีข้อควรระวังและหลักการในการเลือก Backlink คุณภาพ ซึ่งเราจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป

3. Non-Editorial – เป็นลิงก์ที่ฝากไว้ตามคอมเมนต์ของเว็บไซต์ Facebook หรือเว็บบอร์ดต่าง ๆ วิธีนี้ไม่ค่อยมีผลอะไรมากนัก เผลอ ๆ Google อาจมองว่าเป็น Spam Links เราไม่อยากแนะนำให้ทำวิธีนี้

วิธีการทำ Backlink ที่ดีทำอย่างไร

การทำ Backlink ก็มีทั้งการทำที่ดีมีคุณภาพและการทำแบบขอไปที เป็นเพียงการสร้างความเชื่อมโยงอย่างไม่มีมิติเท่านั้น ทำให้เชื่อมโยงไม่สำเร็จ ไม่เกิดการเข้าถึงเว็บไซต์นั้น ๆ เช่น มีการสร้างเว็บไซต์หนึ่งเพื่อหวังจะแปะลิงก์ Backlink เพื่อให้เกิดการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ที่ 2 แต่เนื้อหาของเว็บไซต์หลักนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย มีเพียงการสร้างคำเชื่อมลอย ๆ เพื่อให้เกิดการ “คลิกต่อ” เท่านั้น แบบนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ เรามาดูหลักควรคำนึงในการเลือก Backlink ที่ดีกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. เลือกส่ง Backlink จากเว็บไซต์ที่มี Domain Authority (DA) สูง

เว็บไซต์ไหนที่มีค่า DA (คะแนนเต็ม 100) ยิ่งสูง Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์นั้นยิ่งมีคุณภาพ ดังนั้นถ้าเราต้องเลือกเว็บไซต์ที่จะแปะลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์เรา ควรเช็กค่า DA ของเว็บไซต์ต้นทางสักหน่อย ซึ่งเราสามารถเช็กได้จาก SEO Tools ต่าง ๆ เช่น MOZ หรือ AHREFS

2. ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของเว็บไซต์ที่เราจะทำ Backlink

ไม่ใช่แค่แปะลิงก์เท่านั้น หากแต่ยังจะต้องเน้นคุณภาพไปพร้อม ๆ กับการสร้างความน่าสนใจให้เกิดการ “ติดตาม” ต่อ เมื่อเกิดความต้องการในการติดตามต่อ ก็ก่อให้เกิดการ “คลิกต่อ” ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นขอให้จำขึ้นใจว่า การทำ Backlink ที่ดีต้องเกิดจาก Content หรือเว็บไซต์ที่ดี ลองคิดดูว่าถ้าเราลิงก์เว็บไซต์ของเราซึ่งเกี่ยวกับการขายสกินแคร์ ไปแปะที่เว็บไซต์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ผลกีฬา จะมีสักกี่คนจะคลิกกลับมาอ่านบทความบนเว็บไซต์เรา  ดังนั้นความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของเว็บไซต์ที่ลิงก์กลับมาหาเราต้องมีความเกี่ยวข้องกันถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

digital-marketing-agency-bangkok-sme-digital-trends-computer

3. ต้องมี Traffic จริง ๆ จากเว็บไซต์ที่ทำ Backlink

เว็บไซต์ที่เราไปแปะลิงก์ต้องมีคนเข้ามาดูเว็บไซต์จริง ๆ คิดง่าย ๆ เลย เหมือนเราขายของอยู่ตลาดนัด แต่เราได้แผงขายที่อยู่ในหลืบลึก ๆ ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เราก็คงไม่มีคนเดินมาซื้อของเราเมื่อเทียบกับร้านที่ตั้งอยู่ด้านหน้า มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ แบบนี้ก็จะมีโอกาสที่มีคนซื้อของเรามากขึ้น หลักการเดียวกันกับ Traffic บนเว็บไซต์ที่จะ Backlink มาหาเรา

จากหลักการเบื้องต้นที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้เน้นปริมาณ Backlink อย่างเดียว แต่คุณภาพของทั้งเว็บไซต์ที่จะทำ Backlink กลับมาหรือแม้กระทั่งเนื้อหาบนเว็บไซต์เราเองก็ต้องดีเช่นกัน

อย่างที่เราบอกไปการทำ Backlink ถือเป็นการทำ Off-Page SEO ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนี่งของการทำ SEO เท่านั้น อย่างไรก็ดีเราก็ควรทำ On-Page SEO ควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน

ดูผลงานรายละเอียดเกี่ยวกับการทำ SEO ได้ที่: www.convertdigital.co.th/th/seo-agency-in-bangkok

Read More

ทำไมธุรกิจคุณควรทำ SEO ?

การทำ SEO ช่วยธุรกิจคุณอย่างไร?

การทำ SEO นั้นสำคัญอย่างไร? เมื่อแบรนด์และธุรกิจจำนวนมากรู้ว่าพวกเขาต้องการ Google SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Google แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้เมื่อลูกค้าค้นหา keyword เกี่ยวกับธุรกิจคุณ ก็จะเจอคุณอยู่อันดับแรก ส่งผลให้มีลูกค้ามาเข้าชมเว็บไซต์และนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นในที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มเสียที

ผู้ประกอบการส่วนมากมักจะละเลย SEO เนื่องจากการทำ SEO นั้นต้องใช้ระยะเวลานาน 8-12 เดือนกว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าเราจะสามารถแสดง progress ให้ดูได้ระหว่างทาง ว่า keyword ที่เราต้องการนั้นมี ranking ที่ดีขึ้น และเว็บไซต์ของลูกค้าก็มีผู้เข้าชมมากขึ้นโดยไม่เสียเงินจริง ผู้บริหารหลายท่านมักจะนิยมเลือกช่องทางที่ต้องเสียค่าโฆษณา แต่เห็นผลเลย ณ วันที่ทำเสียมากกว่า

ทว่าความสำคัญของ SEO นั้นคือการลงทุนในระยะกลาง – ยาว ควบคู่กับการทำโฆษณาในช่องทางอื่นที่เห็นผลทันทีอย่าง Google Ads เพื่อที่ในระยะยาว เราจะสามารถลดค่าโฆษณาในส่วนนี้ลงเนื่องจากเว็บไซต์ของลูกค้าติดอันดับต้น ๆ แล้วในทุกหมวด ทำให้ได้ลูกค้าคุณภาพมาสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง

การทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้การค้นหาบน search engine อย่าง Google, Yahoo, Bing, Baidu, Yandex ฯลฯ นั้นเจอเว็บไซต์คุณขึ้นมาก่อน ไม่ใช่เพียงแค่ต้องมี keyword ที่มีลูกค้าหาจริงในประเทศนั้น ๆ เว็บไซต์ของคุณยังต้องถูกเขียนมาให้ใช้งานบนมือถือได้อย่างดีเยี่ยม โหลดเร็ว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อปัจจุบัน Google เป็นเจ้าของ Search ทั้งโลกประมาณ 75% ของตลาดการค้นหาโดยรวมการทำ SEO ของ Convert Digital เราจึงอิงกับเกณฑ์ของ Google เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่การทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น มี keyword ที่เป็นธรรมชาติ มีบทความที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงกับผู้ค้นหา และยังมีการติดตั้ง goal tracking เพื่อติดตามผลงานแบบ real-time ซึ่งนำมาสู่เว็บไซต์ที่มี ranking ดีและสร้างรายได้ให้ธุรกิจคุณได้อย่างยั่งยืน

Digital-marketing-agency-in-bangkok-sme-Google-SEO-optimization
Read More

บริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ

บริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ ที่คุณวัดผลได้

SEO (Search Engine Optimization) นั้นเป็นศัพท์ที่ผู้ประกอบการหลายท่านคุ้นหู หรืออาจจะเข้าใจบริบทในเบื้องต้น แต่ทว่าเมื่อเราพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจหลาย ๆ ท่านก็จะพบว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจอยู่มาก จึงอาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการทำ SEO มากนัก ดังนั้นหลายธุรกิจจึงหันมาใช้บริการบริษัทรับทำ SEO มืออาชีพเพื่อนำเว็บไซต์คุณขึ้นสู่หน้าแรก ๆ บน Google

Digital marketing agency

SEO คืออะไร?

SEO คือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย โหลดเร็ว มี keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณในรูปแบบ และตำแหน่งที่เหมาะสม จนทำให้เว็บไซต์คุณติดหน้า 1 บน Google แบบไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา รวมถึงเพิ่มจำนวนลูกค้าได้ไปในตัว

ในปัจจุบันคุณอาจจะพบว่ามีบริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ หลายแห่งซึ่งมีการบริการ ข้อจำกัด และราคาแตกต่างกันไปตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบการบริการของเราให้คุณทราบในรายละเอียดกันครับ

บริการ SEO ของ Convert Digital แตกต่างอย่างไร?

  1. คุณภาพสูงในราคาที่คุณพึงพอใจ: ด้วยคุณภาพและรายละเอียดที่เป็นมาตรฐานสากล มีลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติ บริษัททั้งในและต่างประเทศในทุกหมวดอุตสาหกรรมที่ไว้วางใจเรา เพียงแค่ค่า platform ที่เราใช้วิเคราะห์นั้นมีค่าใช้จ่ายถึงปีละหลักแสน ทั้งหมดนี้เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของเราให้ธุรกิจคุณ ยังไม่รวมทีมผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์กว่า 10 ปีในสาย SEO โดยเฉพาะ
  2. ไม่จำกัดจำนวนคีย์เวิร์ดและหน้าสำหรับทำ SEO: บางบริษัทจะมีแพ็กเกจย่อยที่จำกัดจำนวน keyword จำนวนหน้าที่ทำการปรับปรุง รวมถึงข้อจำกัดอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งบริษัท Convert Digital ไม่มี เราทำให้ครบทั้งเว็บไซต์ ไม่จำกัดในราคาเดียว
  3. บริการครบวงจรแบบไม่มีข้อจำกัด: การรันตีเห็นผลอย่างชัดเจนใน 8-12 เดือนเท่านั้น โดยระหว่างทางคุณจะเห็นผลงานและความเคลื่อนไหวในทุกเดือนเป็นตัวเลขที่วัดผลได้
  4. คุณสามารถดูตัวอย่างผลงานการทำ SEO ที่ผ่านมาของเราได้ที่นี่

ทำไมคุณควรอยู่หน้าแรกบน Google?

ทำไมถึงจะไม่ล่ะ? ในเมื่อเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1-3 บน Google จะได้ผู้เข้าชมและคลิกในปริมาณที่มากกว่า 75% ของผู้ค้นหาทั้งหมด การที่คุณอยู่ในตำแหน่งแรก ๆ หมายถึงลูกค้าที่ค้นหาจะเจอคุณก่อนตลอดเวลาโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินโฆษณาสักบาท และทำให้คู่แข่งของคุณต้องอิจฉาอีกด้วย

บทความ SEO เขียนอย่างไร?

หลักการเขียน SEO ก็คืองานเขียนที่ไม่ได้เน้นเพียงการขายสินค้าหรือโฆษณาธุรกิจของคุณเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นงานเขียนที่มีคุณค่าช่วยให้ผู้คนที่ค้นหาข้อมูลได้ประโยชน์สูงสุด รวมถึงให้เหล่าเว็บเสิร์จเอนจินมองเห็นว่าบทความของคุณเป็นบทความที่มีคุณค่าในหมวดเนื้อหาเดียวกัน Google จึงจัดอันดับให้บทความของคุณอยู่ในหน้าแรก ๆ

ความยากของการทำ SEO

  1. การเลือกคีย์เวิร์ด ในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้คนสามารถเสิร์ชเจอได้ง่าย แต่การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร บางครั้งคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้อาจเฉพาะกลุ่มเกินไป หรือ ในบางครั้งคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ก็อาจกว้างไปเลยเช่นกัน แม้ส่วนบริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ หรือแม้แต่ผู้ที่มีความรู้เบื้องต้นจะใช้ tools อย่าง google keyword planner แต่ในการเลือกที่ดีนั้นต้องอาศัยประสบการณ์ควบคู่ไปด้วยจึงจะเลือกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมที่สุด
  2. การใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ เพื่อให้เว็บเสิร์จเอนจิ้นคิดว่าบทความนี้เป็นบทความ SEO ซึ่งเราขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกถ่ายทอดจนกลายเป็นเทคนิคหนึ่งของการเขียนบทความ SEO กันเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันเว็บเสิร์จเอนจินก็มีการเรียนรู้โดยใช้ Algorithm จึงสามารถทำให้จับได้ว่าบทความดังกล่าวเป็นเพียงบทความที่มีคำซ้ำ ๆ แต่ไม่ได้เป็นบทความ SEO คุณภาพ เทคนิคนี้จึงกลายเป็นเทคนิคที่ล้าสมัยในโลกดิจิทัลปัจจุบัน
  3. การคัดลอกบทความจากเว็บไซต์อื่น ๆ มาแล้วปรับนิดแต่งหน่อยให้กลายเป็นบทความ SEO ของเราเอง ส่วนนี้ก็เป็นอีกเทคนิคที่มักพบเจอได้ในบทความ SEO แต่การที่คุณจะใช้เทคนิคนี้ได้นั้นคุณต้องมั่นใจก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณใหญ่และมีผู้คนเข้าถึงมากกว่าเว็บไซต์ที่คุณทำการคัดลอกมา เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นเว็บเสิร์จเอนจินคงเลือกเว็บไซต์ต้นฉบับที่คุณทำการคัดลอกมา แทนที่จะเป็นเว็บไซต์ของคุณในการขึ้นบนหน้าแรกของเว็บเสิร์จเอนจินแทน และเทคนิคนี้ก็เป็นอีกเทคนิคที่เรียกว่าเป็นเทคนิคเทา ๆ เพราะเป็นการนำงานบทความ SEO ของผู้อื่นมาเปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลง จึงไม่เป็นที่น่าพึงกระทำสำหรับนัก SEO มืออาชีพ
  4. บทความที่เขียนขึ้นเป็น SEO แล้วแต่ไม่ซัพพอร์ตธุรกิจของคุณ ในส่วนนี้บทความของคุณจัดว่าเป็น SEO สามารถขึ้นหน้าแรกบนเว็บเสิร์จเอนจิ้นได้แล้ว แต่บทความ SEO นี้ไม่สามารถช่วยซัพพอร์ตให้ธุรกิจของคุณได้
  5. เน้นปริมาณของ SEO มากกว่าคุณภาพ ซึ่งส่วนนี้ก็เกิดจากความเชื่อที่ว่าบทความที่มีเนื้อหาปริมาณมากจะเป็นบทความที่มีคุณภาพนั่นเอง ซึ่งส่วนนี้เองก็ได้มีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่าบทความที่มีปริมาณมากไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบทความ SEO ที่มีคุณภาพเสมอไป กล่าวคือ SEO ที่ดีก็ต้องมีทั้งส่วนของปริมาณเนื้อหาที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป รวมถึงเนื้อหาภายในก็เป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพคู่ควรกับการที่ Google จะจัดอันดับเว็บของคุณให้อยู่ในหน้าแรก

ณ จุดนี้เราจึงพบว่าการเขียนบทความ SEO ก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญทั้งการเขียนเกี่ยวกับธุรกิจและการเขียนบทความในรูปแบบ SEO ซึ่งความเชี่ยวชาญในการเขียนบทความเกี่ยวกับธุรกิจนั้น ๆ ของคุณเองอาจเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคุณ แต่การที่บทความนั้น ๆ จะกลายเป็นบทความในรูปแบบ SEO คุณภาพต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนและประสบการณ์อีกด้วย ซึ่งส่วนนี้พนักงานที่บริษัทของคุณอาจไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้ จึงทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ทำไมควรจ้างบริษัทรับทำ SEO แตกต่างจากการเขียนเองอย่างไร?

สำหรับการเขียนคอนเทนต์ SEO ในปัจจุบันนั้น สำหรับเจ้าของแบรนด์ที่พอมีประสบการณ์อาจจะพอเข้าใจแล้วว่าจะช่วยเพิ่มยอดคนดูได้มากกว่าการเขียนบทความแบบปกติ แต่สำหรับเจ้าของแบรนด์มือใหม่อาจจะยังสงสัยว่าจริง ๆ แล้ว SEO คืออะไร ทำอย่างไร? ทำไมใคร ๆ ต่างก็อยากได้บทความ หรือคอนเทนต์แบบ SEO? SEO สำคัญขนาดไหน ถึงได้มีบริษัทรับทำ SEO? วันนี้เราจะตอบคำถามที่คุณเองก็อาจจะยังไม่รู้ก็เป็นได้

การเขียนบทความและลงโฆษณาในปัจจุบันอาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเมื่อมีเครื่องมือของกูเกิลที่เรียกว่า Google Keyword Planner เข้ามาใช้ในการเขียน เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าในช่วงเวลานั้น ๆ ผู้คนกำลังค้นหาอะไรบ้าง และถึงแม้จะมีจุดประสงค์เดียวกัน แต่ก็อาจจะใช้คำค้นหาที่แตกต่างกัน บริษัทที่รับทำ SEO จึงได้รับหน้าที่ในการรับดูแลการค้นคำค้นหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน หัวเรื่องนั้น ๆ เพราะเมื่อบทความของคุณติดอันดับสูงมากเท่าไหร่ ก็จะเพิ่มการมองเห็นได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น การทำ SEO เรื่อง ขนมไทย ถ้าหากคุณได้จ้างบริษัทรับทำ SEO ที่เข้าใจในหลักการทำงานที่แท้จริง เว็บไซต์ของคุณอาจจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในหน้าค้นหาของ Google และมีคนเข้ามาเยี่ยมชมอย่างล้นหลามเลยก็เป็นได้

ดังนั้นการทำ SEO ที่ช่วยให้บทความของคุณมีเนื้อหาที่ตรงใจและตอบสนองความต้องการของผู้ที่ค้นหา จึงมีความสำคัญมากกว่าการเขียนปกติ เพราะเมื่อคุณเผยแพร่บทความของคุณไปแล้ว Google จะตรวจจับคีย์เวิร์ดในบทความของคุณ และนำไปแสดงในผลการค้นหาที่เรียงลำดับการค้นหาตามความนิยม รวมไปถึงเว็บไซต์ที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการค้นหามากที่สุด

Digital-marketing-agency-in-bangkok-sme-Google-SEO
digital-marketing-agency-bangkok-SEO-agency-bangkok-man

ทำไมคุณถึงต้องเลือกเราในการทำ SEO?

ด้วยบริษัทรับจ้างเขียน SEO มีปริมาณมาก แต่ไม่ได้การันตีในความสำเร็จของธุรกิจของคุณได้ ซึ่งแตกต่างจากเราที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญคุณภาพที่พร้อมจะเป็นผู้นำพาความสำเร็จมาสู่ธุรกิจของคุณ พร้อมการรายงานผลด้วยตัวเลข กราฟและการประชุมที่จะอธิบายให้คุณเข้าใจความเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน ทีมงานของเราสามารถทำความเข้าใจธุรกิจของคุณ แล้วเราสามารถเขียนออกมาในรูปแบบของ SEO ได้ ซึ่งคุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าเป็นหลักการเขียน SEO ที่ถูกต้องสามารถนำพาธุรกิจของคุณทะยานขึ้นสู่หน้าแรกของเว็บเสิร์จเอนจินได้อย่างแน่นอน แถมเรายังมีความยืดหยุ่นให้กับคุณและธุรกิจของคุณด้วยการไม่จำกัดจำนวนคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เรายังให้บริการ SEO ในราคาที่ถูกกว่า คุณจึงสามารถนำเงินลงทุนในส่วนนี้ไปเพิ่มศักยภาพในด้านอื่นๆ ให้กับธุรกิจของคุณได้อีก และที่สำคัญเลยคือการบริการของเราเป็นการบริการครบวงจร ไม่มีข้อจำกัด เห็นผลใน 8 – 12 เดือน

Read More