GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร ? พร้อมวิธีการทำ SEO เพื่อ AI เบื้องต้น

การก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการสื่อสาร การทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้กระทั่งการค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นแล้ว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้การทำ GEO (Generative Engine Optimization) หรือ กลยุทธ์การสร้างเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับเครื่องมือการค้นหาที่มีการขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบ AI จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อประโยชน์ในการช่วยทำให้เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาบนเว็บไซต์ของคุณมีความสอดรับกับระบบ AI อัจฉริยะ ที่สามารถสร้างและนำเสนอข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาได้แบบเรียลไทม์

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร ?

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์ใหม่ในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ที่ถูกพูดถึงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 โดยการทำ GEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาดิจิทัลที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง YouTube, Facebook Page และอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกับเครื่องมือค้นหาที่มีการทำงานร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า AI Generative Engines เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสและความเป็นไปได้ที่ชื่อของธุรกิจหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณจะมาปรากฏอยู่ในคำตอบของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Bing Chat หรือ Google SGE

การทำ GEO (Generative Engine Optimization) มีความสำคัญอย่างไร ?

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า การก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อรูปแบบและวิธีการค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันนี้ โดยจะเห็นได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นได้หันมาใช้งานระบบ AI Search เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการกันมากยิ่งขึ้น จนเป็นผลทำให้ปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกของหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นแล้ว การทำ GEO (Generative Engine Optimization) จึงได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถมองเห็นเนื้อหาหรือความเป็นตัวตนที่ธุรกิจต้องการจะนำเสนอออกมาในการค้นหาข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไขข้อสงสัย การทำ GEO (Generative Engine Optimization) แตกต่างจากการทำ SEO อย่างไร ?

แม้ว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) จะมีวัตถุประสงค์หลักที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในแง่มุมของการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการค้นพบเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย แต่ทว่าการทำ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับระบบ Algorithm ของ Search Engines เพื่อเป้าหมายในการปรับปรุงอันดับของหน้าเว็บไซต์ที่แสดงผลในการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERP) ให้ดียิ่งขึ้นเป็นสำคัญ ในขณะที่การทำ GEO (Generative Engine Optimization) นั้นจะให้ความสำคัญกับการปรับแต่งเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบการตอบคำถามของ AI และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ถามได้อย่างแท้จริง

เจาะลึกเทคนิคการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เพื่อ AI แบบเบื้องต้น

การทำ SEO มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์สามารถเข้าถึงระบบการค้นหาของ AI และสามารถแสดงผลเพื่อช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหาได้อย่างแท้จริง ซึ่งกลยุทธ์สำหรับการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เพื่อ AI นั้นก็มาพร้อมด้วยรายละเอียดที่คุณสามารถทำตามได้แบบเบื้องต้น ดังนี้

การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา SEO

สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการทำ SEO เพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) คือ การสร้างเนื้อหาที่มีความถูกต้อง ครอบคลุม ละเอียด และมีความเชื่อถือ ร่วมกับการใส่ข้อมูลอ้างอิงของผู้เขียนและเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์อย่างชัดเจน เพื่อแสดงให้ระบบ Generative Engines สังเกตเห็นได้ว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ อย่างแท้จริง

การสร้างเนื้อหาที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย

โดยทั่วไปแล้วระบบ Generative Engines จะมีนำเอาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) มาใช้ประโยชน์ในการช่วยสังเคราะห์และสรุปรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านั้นไปแสดงผลในรูปแบบของคำตอบให้กับผู้ที่ซักถาม เพราะฉะนั้นแล้ว การสร้างเนื้อหาที่ระบบ AI จะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้การทำ SEO และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์

Schema Markup เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชิ้นสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO และการทำ GEO (Generative Engine Optimization) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์จะช่วยทำให้ Google Bot รวมถึง Generative AI สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนทำให้เว็บไซต์มีโอกาสที่จะปรากฏอยู่ในคำตอบของ AI ที่มากขึ้นตามไปด้วย

สรุป  GEO (Generative Engine Optimization)

อนาคตของการทำ SEO ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี โดยจะเห็นได้ว่าการทำ SEO ในอดีตจะมุ่งเน้นไปที่การให้ความสำคัญกับการใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ ร่วมกับการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้สามารถดึงดูด Search Engine Crawlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทว่าการทำ SEO ในปัจจุบันนี้กลับมีการมุ่งเน้นไปที่การผสมผสานเทคนิคในการทำ SEO แบบดั้งเดิม เข้ากับแนวทางในการสร้างการตอบสนองของ Generative AI เพื่อช่วยทำให้ผลลัพธ์ของการทำ SEO มีความสอดคล้องอนาคตที่ถูกขับเคลื่อนด้วย AI และสามารถบรรลุเป้าหมายในการทำ GEO (Generative Engine Optimization) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด หวังบทความจาก convertdigital นี้จะช่วยให้คุณรู้จัก GEO มากขึ้น

References

Read More

Backlink คืออะไร วิธีการทำ Backlink ที่ดีทำอย่างไร?

Backlink คือ “ส่วนหนึ่ง” ของการทำการตลาด “SEO” (Off-Page SEO) ในที่นี้ใช้คำว่า “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้น เพราะไม่ใช่ทั้งหมดของการทำ “SEO” แต่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับการทำการตลาดรูปแบบนี้ แต่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมันยังสามารถใช้องค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อทำให้เนื้อหาหรือ Content ของเราติดอันดับบน Google ด้วยวิธีอื่น ๆ ได้

Backlink คืออะไร?

Backlink คือ ลิงก์ที่ส่งมาจากเว็บไซต์ต้นทางเพื่อส่งการเข้าถึงมายังหน้าเว็บไซต์ของเรา หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการ “สร้างความเชื่อมโยง” จากเว็บไซต์หนึ่งมาถึงเว็บไซต์ของเรา เป็นการแปะลิงก์สำหรับการเข้าถึงแบบอัตโนมัติมายังเว็บไซต์ของเรา เสมือนเป็นการโฆษณาแฝงแบบเนียน ๆ เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้นและกระตุ้นผลลัพธ์สำหรับคนที่อยากอ่านบทเฉลยของ Content หรือเนื้อหานั้น ๆ เช่น เรากำลังอ่านเนื้อหาของเว็บไซต์หนึ่งอยู่ และเว็บไซต์นี้ได้แปะลิงก์เนื้อหาเพิ่มเติมหรือเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันให้เราสามารถคลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ เป็นการสร้างความเชื่อมโยงแบบเนียน ๆ เพื่อให้เข้าถึงเว็บไซต์ที่ 2 ยิ่งเว็บไซต์เรามี Backlink มาก ก็จะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์เราติดอันดับดี เพราะ Google มองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงมาจากเว็บไซต์ข้างนอก

Digital Marketing Agency in Bangkok SEO Search Engine Optimization Overall
Digital Marketing Agency in Bangkok SEO Search Engine Optimization Masthead

ประเภทของ Backlink

1. “Natural” Editorial Links – เป็นลิงก์ที่ได้จากการแชร์ การอ้างอิงจากบุคคลอื่นกลับมาที่เว็บไซต์เรา การที่จะได้ลิงก์แบบนี้มาได้นั้น คุณภาพของบทความเราต้องดีถึงขนาดได้รับการยอมรับจากผู้อ่าน ยิ่งเว็บไซต์เรามีคนเข้ามาดูมาก ๆ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์เราน่าเชื่อถือ และอาจจะทำให้เราติดอันดับต้น ๆ บน Google การได้ลิงก์นี้มาเราไม่ต้องเสียเงินสักบาท แต่อาจต้องใช้เวลา และต้องควบคุมคุณภาพของบทความให้โดนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เช่น

  • คู่มือเช็กรถเบื้องต้นด้วยตัวเองฉบับง่าย
  • 20 คาเฟ่สุดชิคในเชียงใหม่ ห้ามพลาด!
  • 50 ซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวนสอบสวน
  • 20 ร้านชาบูสุดเด็ดในกรุงเทพฯ

2. Manual Link Building – เป็นลิงก์ที่เราสร้างขึ้นมาเองแล้วนำไปกระจายตามที่ต่าง ๆ เราสามารถเริ่มจาก Owned Assets ก่อน เช่น บน Social Media, Blogs, Youtube, Google My Business หรือจะไปฝากตามเว็บไซต์ Directory ซึ่งแบบนี้คุณไม่ต้องเสียเงิน แต่ก็จะมีอีกวิธี คือ การจ่ายเงินซื้อลิงก์ โดยการติดต่อเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์เหล่านั้นช่วยเขียนบทความใหม่แล้วทำ Backlink กลับมาโดยคุณอาจจะระบุ ‘คีย์เวิร์ด’ หรือตำแหน่งในบทความให้ทำลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์คุณได้ การทำแบบนี้ มีข้อควรระวังและหลักการในการเลือก Backlink คุณภาพ ซึ่งเราจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป

3. Non-Editorial – เป็นลิงก์ที่ฝากไว้ตามคอมเมนต์ของเว็บไซต์ Facebook หรือเว็บบอร์ดต่าง ๆ วิธีนี้ไม่ค่อยมีผลอะไรมากนัก เผลอ ๆ Google อาจมองว่าเป็น Spam Links เราไม่อยากแนะนำให้ทำวิธีนี้

วิธีการทำ Backlink ที่ดีทำอย่างไร

การทำ Backlink ก็มีทั้งการทำที่ดีมีคุณภาพและการทำแบบขอไปที เป็นเพียงการสร้างความเชื่อมโยงอย่างไม่มีมิติเท่านั้น ทำให้เชื่อมโยงไม่สำเร็จ ไม่เกิดการเข้าถึงเว็บไซต์นั้น ๆ เช่น มีการสร้างเว็บไซต์หนึ่งเพื่อหวังจะแปะลิงก์ Backlink เพื่อให้เกิดการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ที่ 2 แต่เนื้อหาของเว็บไซต์หลักนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย มีเพียงการสร้างคำเชื่อมลอย ๆ เพื่อให้เกิดการ “คลิกต่อ” เท่านั้น แบบนี้ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ เรามาดูหลักควรคำนึงในการเลือก Backlink ที่ดีกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. เลือกส่ง Backlink จากเว็บไซต์ที่มี Domain Authority (DA) สูง

เว็บไซต์ไหนที่มีค่า DA (คะแนนเต็ม 100) ยิ่งสูง Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์นั้นยิ่งมีคุณภาพ ดังนั้นถ้าเราต้องเลือกเว็บไซต์ที่จะแปะลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์เรา ควรเช็กค่า DA ของเว็บไซต์ต้นทางสักหน่อย ซึ่งเราสามารถเช็กได้จาก SEO Tools ต่าง ๆ เช่น MOZ หรือ AHREFS

2. ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของเว็บไซต์ที่เราจะทำ Backlink

ไม่ใช่แค่แปะลิงก์เท่านั้น หากแต่ยังจะต้องเน้นคุณภาพไปพร้อม ๆ กับการสร้างความน่าสนใจให้เกิดการ “ติดตาม” ต่อ เมื่อเกิดความต้องการในการติดตามต่อ ก็ก่อให้เกิดการ “คลิกต่อ” ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นขอให้จำขึ้นใจว่า การทำ Backlink ที่ดีต้องเกิดจาก Content หรือเว็บไซต์ที่ดี ลองคิดดูว่าถ้าเราลิงก์เว็บไซต์ของเราซึ่งเกี่ยวกับการขายสกินแคร์ ไปแปะที่เว็บไซต์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ผลกีฬา จะมีสักกี่คนจะคลิกกลับมาอ่านบทความบนเว็บไซต์เรา  ดังนั้นความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของเว็บไซต์ที่ลิงก์กลับมาหาเราต้องมีความเกี่ยวข้องกันถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

digital-marketing-agency-bangkok-sme-digital-trends-computer

3. ต้องมี Traffic จริง ๆ จากเว็บไซต์ที่ทำ Backlink

เว็บไซต์ที่เราไปแปะลิงก์ต้องมีคนเข้ามาดูเว็บไซต์จริง ๆ คิดง่าย ๆ เลย เหมือนเราขายของอยู่ตลาดนัด แต่เราได้แผงขายที่อยู่ในหลืบลึก ๆ ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เราก็คงไม่มีคนเดินมาซื้อของเราเมื่อเทียบกับร้านที่ตั้งอยู่ด้านหน้า มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ แบบนี้ก็จะมีโอกาสที่มีคนซื้อของเรามากขึ้น หลักการเดียวกันกับ Traffic บนเว็บไซต์ที่จะ Backlink มาหาเรา

จากหลักการเบื้องต้นที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้เน้นปริมาณ Backlink อย่างเดียว แต่คุณภาพของทั้งเว็บไซต์ที่จะทำ Backlink กลับมาหรือแม้กระทั่งเนื้อหาบนเว็บไซต์เราเองก็ต้องดีเช่นกัน

อย่างที่เราบอกไปการทำ Backlink ถือเป็นการทำ Off-Page SEO ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนี่งของการทำ SEO เท่านั้น อย่างไรก็ดีเราก็ควรทำ On-Page SEO ควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน

ดูผลงานรายละเอียดเกี่ยวกับการทำ SEO ได้ที่: www.convertdigital.co.th/th/seo-agency-in-bangkok

Read More

ทำไมธุรกิจคุณควรทำ SEO ?

การทำ SEO ช่วยธุรกิจคุณอย่างไร?

การทำ SEO นั้นสำคัญอย่างไร? เมื่อแบรนด์และธุรกิจจำนวนมากรู้ว่าพวกเขาต้องการ Google SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Google แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้เมื่อลูกค้าค้นหา keyword เกี่ยวกับธุรกิจคุณ ก็จะเจอคุณอยู่อันดับแรก ส่งผลให้มีลูกค้ามาเข้าชมเว็บไซต์และนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นในที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มเสียที

ผู้ประกอบการส่วนมากมักจะละเลย SEO เนื่องจากการทำ SEO นั้นต้องใช้ระยะเวลานาน 8-12 เดือนกว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าเราจะสามารถแสดง progress ให้ดูได้ระหว่างทาง ว่า keyword ที่เราต้องการนั้นมี ranking ที่ดีขึ้น และเว็บไซต์ของลูกค้าก็มีผู้เข้าชมมากขึ้นโดยไม่เสียเงินจริง ผู้บริหารหลายท่านมักจะนิยมเลือกช่องทางที่ต้องเสียค่าโฆษณา แต่เห็นผลเลย ณ วันที่ทำเสียมากกว่า

ทว่าความสำคัญของ SEO นั้นคือการลงทุนในระยะกลาง – ยาว ควบคู่กับการทำโฆษณาในช่องทางอื่นที่เห็นผลทันทีอย่าง Google Ads เพื่อที่ในระยะยาว เราจะสามารถลดค่าโฆษณาในส่วนนี้ลงเนื่องจากเว็บไซต์ของลูกค้าติดอันดับต้น ๆ แล้วในทุกหมวด ทำให้ได้ลูกค้าคุณภาพมาสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง

การทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้การค้นหาบน search engine อย่าง Google, Yahoo, Bing, Baidu, Yandex ฯลฯ นั้นเจอเว็บไซต์คุณขึ้นมาก่อน ไม่ใช่เพียงแค่ต้องมี keyword ที่มีลูกค้าหาจริงในประเทศนั้น ๆ เว็บไซต์ของคุณยังต้องถูกเขียนมาให้ใช้งานบนมือถือได้อย่างดีเยี่ยม โหลดเร็ว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อปัจจุบัน Google เป็นเจ้าของ Search ทั้งโลกประมาณ 75% ของตลาดการค้นหาโดยรวมการทำ SEO ของ Convert Digital เราจึงอิงกับเกณฑ์ของ Google เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่การทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น มี keyword ที่เป็นธรรมชาติ มีบทความที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงกับผู้ค้นหา และยังมีการติดตั้ง goal tracking เพื่อติดตามผลงานแบบ real-time ซึ่งนำมาสู่เว็บไซต์ที่มี ranking ดีและสร้างรายได้ให้ธุรกิจคุณได้อย่างยั่งยืน

Digital-marketing-agency-in-bangkok-sme-Google-SEO-optimization
Read More

บริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ

บริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ ที่คุณวัดผลได้

SEO (Search Engine Optimization) นั้นเป็นศัพท์ที่ผู้ประกอบการหลายท่านคุ้นหู หรืออาจจะเข้าใจบริบทในเบื้องต้น แต่ทว่าเมื่อเราพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจหลาย ๆ ท่านก็จะพบว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจอยู่มาก จึงอาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการทำ SEO มากนัก ดังนั้นหลายธุรกิจจึงหันมาใช้บริการบริษัทรับทำ SEO มืออาชีพเพื่อนำเว็บไซต์คุณขึ้นสู่หน้าแรก ๆ บน Google

Digital marketing agency

SEO คืออะไร?

SEO คือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย โหลดเร็ว มี keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณในรูปแบบ และตำแหน่งที่เหมาะสม จนทำให้เว็บไซต์คุณติดหน้า 1 บน Google แบบไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา รวมถึงเพิ่มจำนวนลูกค้าได้ไปในตัว

ในปัจจุบันคุณอาจจะพบว่ามีบริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ หลายแห่งซึ่งมีการบริการ ข้อจำกัด และราคาแตกต่างกันไปตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบการบริการของเราให้คุณทราบในรายละเอียดกันครับ

บริการ SEO ของ Convert Digital แตกต่างอย่างไร?

  1. คุณภาพสูงในราคาที่คุณพึงพอใจ: ด้วยคุณภาพและรายละเอียดที่เป็นมาตรฐานสากล มีลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติ บริษัททั้งในและต่างประเทศในทุกหมวดอุตสาหกรรมที่ไว้วางใจเรา เพียงแค่ค่า platform ที่เราใช้วิเคราะห์นั้นมีค่าใช้จ่ายถึงปีละหลักแสน ทั้งหมดนี้เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของเราให้ธุรกิจคุณ ยังไม่รวมทีมผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์กว่า 10 ปีในสาย SEO โดยเฉพาะ
  2. ไม่จำกัดจำนวนคีย์เวิร์ดและหน้าสำหรับทำ SEO: บางบริษัทจะมีแพ็กเกจย่อยที่จำกัดจำนวน keyword จำนวนหน้าที่ทำการปรับปรุง รวมถึงข้อจำกัดอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งบริษัท Convert Digital ไม่มี เราทำให้ครบทั้งเว็บไซต์ ไม่จำกัดในราคาเดียว
  3. บริการครบวงจรแบบไม่มีข้อจำกัด: การรันตีเห็นผลอย่างชัดเจนใน 8-12 เดือนเท่านั้น โดยระหว่างทางคุณจะเห็นผลงานและความเคลื่อนไหวในทุกเดือนเป็นตัวเลขที่วัดผลได้
  4. คุณสามารถดูตัวอย่างผลงานการทำ SEO ที่ผ่านมาของเราได้ที่นี่

ทำไมคุณควรอยู่หน้าแรกบน Google?

ทำไมถึงจะไม่ล่ะ? ในเมื่อเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1-3 บน Google จะได้ผู้เข้าชมและคลิกในปริมาณที่มากกว่า 75% ของผู้ค้นหาทั้งหมด การที่คุณอยู่ในตำแหน่งแรก ๆ หมายถึงลูกค้าที่ค้นหาจะเจอคุณก่อนตลอดเวลาโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินโฆษณาสักบาท และทำให้คู่แข่งของคุณต้องอิจฉาอีกด้วย

บทความ SEO เขียนอย่างไร?

หลักการเขียน SEO ก็คืองานเขียนที่ไม่ได้เน้นเพียงการขายสินค้าหรือโฆษณาธุรกิจของคุณเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นงานเขียนที่มีคุณค่าช่วยให้ผู้คนที่ค้นหาข้อมูลได้ประโยชน์สูงสุด รวมถึงให้เหล่าเว็บเสิร์จเอนจินมองเห็นว่าบทความของคุณเป็นบทความที่มีคุณค่าในหมวดเนื้อหาเดียวกัน Google จึงจัดอันดับให้บทความของคุณอยู่ในหน้าแรก ๆ

ความยากของการทำ SEO

  1. การเลือกคีย์เวิร์ด ในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้คนสามารถเสิร์ชเจอได้ง่าย แต่การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร บางครั้งคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้อาจเฉพาะกลุ่มเกินไป หรือ ในบางครั้งคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ก็อาจกว้างไปเลยเช่นกัน แม้ส่วนบริษัทรับทำ SEO ในกรุงเทพฯ หรือแม้แต่ผู้ที่มีความรู้เบื้องต้นจะใช้ tools อย่าง google keyword planner แต่ในการเลือกที่ดีนั้นต้องอาศัยประสบการณ์ควบคู่ไปด้วยจึงจะเลือกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมที่สุด
  2. การใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ เพื่อให้เว็บเสิร์จเอนจิ้นคิดว่าบทความนี้เป็นบทความ SEO ซึ่งเราขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกถ่ายทอดจนกลายเป็นเทคนิคหนึ่งของการเขียนบทความ SEO กันเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันเว็บเสิร์จเอนจินก็มีการเรียนรู้โดยใช้ Algorithm จึงสามารถทำให้จับได้ว่าบทความดังกล่าวเป็นเพียงบทความที่มีคำซ้ำ ๆ แต่ไม่ได้เป็นบทความ SEO คุณภาพ เทคนิคนี้จึงกลายเป็นเทคนิคที่ล้าสมัยในโลกดิจิทัลปัจจุบัน
  3. การคัดลอกบทความจากเว็บไซต์อื่น ๆ มาแล้วปรับนิดแต่งหน่อยให้กลายเป็นบทความ SEO ของเราเอง ส่วนนี้ก็เป็นอีกเทคนิคที่มักพบเจอได้ในบทความ SEO แต่การที่คุณจะใช้เทคนิคนี้ได้นั้นคุณต้องมั่นใจก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณใหญ่และมีผู้คนเข้าถึงมากกว่าเว็บไซต์ที่คุณทำการคัดลอกมา เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นเว็บเสิร์จเอนจินคงเลือกเว็บไซต์ต้นฉบับที่คุณทำการคัดลอกมา แทนที่จะเป็นเว็บไซต์ของคุณในการขึ้นบนหน้าแรกของเว็บเสิร์จเอนจินแทน และเทคนิคนี้ก็เป็นอีกเทคนิคที่เรียกว่าเป็นเทคนิคเทา ๆ เพราะเป็นการนำงานบทความ SEO ของผู้อื่นมาเปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลง จึงไม่เป็นที่น่าพึงกระทำสำหรับนัก SEO มืออาชีพ
  4. บทความที่เขียนขึ้นเป็น SEO แล้วแต่ไม่ซัพพอร์ตธุรกิจของคุณ ในส่วนนี้บทความของคุณจัดว่าเป็น SEO สามารถขึ้นหน้าแรกบนเว็บเสิร์จเอนจิ้นได้แล้ว แต่บทความ SEO นี้ไม่สามารถช่วยซัพพอร์ตให้ธุรกิจของคุณได้
  5. เน้นปริมาณของ SEO มากกว่าคุณภาพ ซึ่งส่วนนี้ก็เกิดจากความเชื่อที่ว่าบทความที่มีเนื้อหาปริมาณมากจะเป็นบทความที่มีคุณภาพนั่นเอง ซึ่งส่วนนี้เองก็ได้มีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่าบทความที่มีปริมาณมากไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบทความ SEO ที่มีคุณภาพเสมอไป กล่าวคือ SEO ที่ดีก็ต้องมีทั้งส่วนของปริมาณเนื้อหาที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป รวมถึงเนื้อหาภายในก็เป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพคู่ควรกับการที่ Google จะจัดอันดับเว็บของคุณให้อยู่ในหน้าแรก

ณ จุดนี้เราจึงพบว่าการเขียนบทความ SEO ก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญทั้งการเขียนเกี่ยวกับธุรกิจและการเขียนบทความในรูปแบบ SEO ซึ่งความเชี่ยวชาญในการเขียนบทความเกี่ยวกับธุรกิจนั้น ๆ ของคุณเองอาจเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคุณ แต่การที่บทความนั้น ๆ จะกลายเป็นบทความในรูปแบบ SEO คุณภาพต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนและประสบการณ์อีกด้วย ซึ่งส่วนนี้พนักงานที่บริษัทของคุณอาจไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้ จึงทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ทำไมควรจ้างบริษัทรับทำ SEO แตกต่างจากการเขียนเองอย่างไร?

สำหรับการเขียนคอนเทนต์ SEO ในปัจจุบันนั้น สำหรับเจ้าของแบรนด์ที่พอมีประสบการณ์อาจจะพอเข้าใจแล้วว่าจะช่วยเพิ่มยอดคนดูได้มากกว่าการเขียนบทความแบบปกติ แต่สำหรับเจ้าของแบรนด์มือใหม่อาจจะยังสงสัยว่าจริง ๆ แล้ว SEO คืออะไร ทำอย่างไร? ทำไมใคร ๆ ต่างก็อยากได้บทความ หรือคอนเทนต์แบบ SEO? SEO สำคัญขนาดไหน ถึงได้มีบริษัทรับทำ SEO? วันนี้เราจะตอบคำถามที่คุณเองก็อาจจะยังไม่รู้ก็เป็นได้

การเขียนบทความและลงโฆษณาในปัจจุบันอาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเมื่อมีเครื่องมือของกูเกิลที่เรียกว่า Google Keyword Planner เข้ามาใช้ในการเขียน เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าในช่วงเวลานั้น ๆ ผู้คนกำลังค้นหาอะไรบ้าง และถึงแม้จะมีจุดประสงค์เดียวกัน แต่ก็อาจจะใช้คำค้นหาที่แตกต่างกัน บริษัทที่รับทำ SEO จึงได้รับหน้าที่ในการรับดูแลการค้นคำค้นหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน หัวเรื่องนั้น ๆ เพราะเมื่อบทความของคุณติดอันดับสูงมากเท่าไหร่ ก็จะเพิ่มการมองเห็นได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น การทำ SEO เรื่อง ขนมไทย ถ้าหากคุณได้จ้างบริษัทรับทำ SEO ที่เข้าใจในหลักการทำงานที่แท้จริง เว็บไซต์ของคุณอาจจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในหน้าค้นหาของ Google และมีคนเข้ามาเยี่ยมชมอย่างล้นหลามเลยก็เป็นได้

ดังนั้นการทำ SEO ที่ช่วยให้บทความของคุณมีเนื้อหาที่ตรงใจและตอบสนองความต้องการของผู้ที่ค้นหา จึงมีความสำคัญมากกว่าการเขียนปกติ เพราะเมื่อคุณเผยแพร่บทความของคุณไปแล้ว Google จะตรวจจับคีย์เวิร์ดในบทความของคุณ และนำไปแสดงในผลการค้นหาที่เรียงลำดับการค้นหาตามความนิยม รวมไปถึงเว็บไซต์ที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการค้นหามากที่สุด

Digital-marketing-agency-in-bangkok-sme-Google-SEO
digital-marketing-agency-bangkok-SEO-agency-bangkok-man

ทำไมคุณถึงต้องเลือกเราในการทำ SEO?

ด้วยบริษัทรับจ้างเขียน SEO มีปริมาณมาก แต่ไม่ได้การันตีในความสำเร็จของธุรกิจของคุณได้ ซึ่งแตกต่างจากเราที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญคุณภาพที่พร้อมจะเป็นผู้นำพาความสำเร็จมาสู่ธุรกิจของคุณ พร้อมการรายงานผลด้วยตัวเลข กราฟและการประชุมที่จะอธิบายให้คุณเข้าใจความเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน ทีมงานของเราสามารถทำความเข้าใจธุรกิจของคุณ แล้วเราสามารถเขียนออกมาในรูปแบบของ SEO ได้ ซึ่งคุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าเป็นหลักการเขียน SEO ที่ถูกต้องสามารถนำพาธุรกิจของคุณทะยานขึ้นสู่หน้าแรกของเว็บเสิร์จเอนจินได้อย่างแน่นอน แถมเรายังมีความยืดหยุ่นให้กับคุณและธุรกิจของคุณด้วยการไม่จำกัดจำนวนคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เรายังให้บริการ SEO ในราคาที่ถูกกว่า คุณจึงสามารถนำเงินลงทุนในส่วนนี้ไปเพิ่มศักยภาพในด้านอื่นๆ ให้กับธุรกิจของคุณได้อีก และที่สำคัญเลยคือการบริการของเราเป็นการบริการครบวงจร ไม่มีข้อจำกัด เห็นผลใน 8 – 12 เดือน

Read More