เสนอราคา

    ชื่อ*

    อีเมล*

    หมายเลขโทรศัพท์*

    เว็บไซต์บริษัท

    เลือกบริการ

    จำนวนพนักงาน

    เมื่อ Facebook เก็บ VAT 7% บริษัทหรือบุคคลทั่วไปจะต้อง Set-Up อย่างไร?

    By

    เริ่มต้นข่าวใหม่ที่ฟังดูแล้วอาจจะสร้างความ “สะเทือน” ให้กับผู้ค้าออนไลน์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว กับข่าวการจัดเก็บภาษีหรือ VAT 7% ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ฟังดูเผิน ๆ แล้วน่าจะดีใจด้วยซ้ำนั่นคือการประกาศกฎเหล็กออกมาใหม่ สำหรับการจัดเก็บภาษีของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษี e-Service แต่ความจริงแล้ว คนที่สะเทือนใจและได้รับผลกระทบน่าจะหมายถึงผู้ค้าออนไลน์ต่าง ๆ ที่ใช้ช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านแพลตฟอร์มนั้น ๆ ไม่น่าจะใช่เจ้าของแพลตฟอร์มที่แท้จริง

    ทำไมผู้ค้าออนไลน์จึงได้รับผบกระทบจากการจัดเก็บภาษี E-Service

    ก็เพราะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์จากต่างประเทศนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไอจี Google หรือน้องใหม่อย่าง Tiktok ล้วนแล้วแต่เปิดให้บริการในไทยทั้งสิ้น ซึ่งหลายคนอาจจะฟังเผิน ๆ แล้วพูดว่า “ก็ดีนะเก็บภาษีกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่างนี้บ้างเพื่อการแข่งขันในไทยให้เท่าเทียมกัน ไม่ใช่จัดเก็บ VAT เฉพาะผู้ให้บริการของไทยเท่านั้น แต่จัดเก็บ VAT สำหรับแพลตฟอร์มต่างชาติก็น่าจะดี” แต่ลองคิดดูให้ดี ๆ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถ “ผลักภาระ” การเสีย VAT นี้มาให้ผู้ใช้โฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้ได้

    “หลังจากที่ E-Service เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ทุกคนที่ยิงแอดในเฟซบุ๊กจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ทั้งที่จด VAT และไม่จด VAT”

    คนที่จด VAT (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล ที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้าน/ปี)

    • ให้แจ้ง Facebook ว่าเราจด VAT โดยการไปอัปเดตข้อมูลที่ Facebook Ads Manager ???? All tools ???? Billing ???? Payment Settings ???? Business Information แล้วใส่ VAT ID แล้วกดบันทึก
    • หลังจากอัปเดตข้อมูล VAT ID ของเรา Facebook จะไม่เก็บ VAT 7% จากการยิง Ads ณ ตอนนั้น แต่เราต้องนำVAT 7% ไปยื่นภาษีเองด้วยแบบ ภ.พ. 36 กับกรมสรรพากร (ยื่นไม่เกินวันที่ 7 ของเดือนถัดไป) ซึ่งสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้

    เช่น เรายิง Ads ไป 1,000 บาท Facebook จะเก็บเรา 1,000 บาท (ไม่รวม VAT 7%) ส่วน VAT 7% จำนวน 70 บาท เราต้องต้องยื่นกับกรมสรรพากรเอง ซึ่งสามารถขอคืนภาษีได้ภายหลัง

    คนที่ไม่จด VAT

    ในส่วนนี้เราไม่ต้องเข้าไปอัปเดตข้อมูลอะไรใน Facebook เมื่อมีการยิง Ads เกิดขึ้นจะถูก Facebook ตัดเงินอัตโนมัติโดยรวม VAT 7% จากการยิง Ads ณ เวลานั้น ซึ่งจะไม่สามารถขอคืนภาษีได้

    เช่น เรายิง Ads ไป 1,000 บาท Facebook เรียกเก็บจากเรา 1,070 บาท (รวม VAT 7%) ในส่วนนี้เราไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ต่อเพราะ Facebook จะนำส่ง VAT ให้กรมสรรพากรแทนเรา

    การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ถือว่าเป็นการผลักภาระให้กับผู้ค้าออนไลน์เจ้าเล็ก ๆ หรือเจ้าของธุรกิจที่ยังไม่ได้จด VAT ซึ่งเชื่อว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลาย ๆ คนก็ต้อง “จำใจ” จ่ายให้อยู่ดี เพื่อให้เกิดการโฆษณาอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม ดังนั้นการวาง Budgetโฆษณาในตอนนี้ ต้องมีการคำนวณ Budget เผื่อไว้อีก 7% เท่ากับว่าต้นทุนเราเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก แต่ในแง่ของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ นั้นย่อมไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ อยู่แล้ว

    เมื่อเวทีการแข่งขันถูกยกระดับขึ้น มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ทำโฆษณาด้วยตัวเองและไม่ได้วัดผลจึงเสียเปรียบเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้ที่มีการวางแผนการโฆษณา ทำการทดลองเจาะกลุ่มลูกค้า และมีการวัดผลที่ชัดเจน หากคุณกำลังเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำโฆษณาเอง ใส่เงินเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนั้นทำงานให้คุณดีหรือไม่ดี การมีผู้ช่วยที่รู้ลึก รู้จริง จะช่วยทำให้คุณได้ยอดขายหรือ Leads ที่มากขึ้นกว่าเดิม ในราคาที่ถูกลงกว่าทำเอง

    About Author
    Rawin Rojanathara Avatar